72. วิชาการจัดการความฝัน

วิชา การจัดการความฝัน

 


ศาสตราจารย์ ดร. อุทิส ศิริวรรณ

๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

 

จากการวิจัย พบว่า ความสำเร็จของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ” คน” มีหลายตัวแปรเกี่ยวข้อง

ประเด็นสำคัญอีกประเด็นที่ไม่มีเรียน ไม่มีสอน ในสถาบันใดๆ ในเมืองไทยคือ “การจัดการความฝัน”

 

ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค หลักสูตรการศึกษาพุทธศาสนา เปรียญธรรม ๘ และ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ได้แบ่งความฝันออกแเป็น 4 แบบ

1. บุรพนิมิต  เป็นการฝันถึงเรื่องประสบการณ์เก่าที่สัมผัส 5 ได้พบ ทั้งตาดู หูฟัง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายสัมผัส
แล้วเก็บมาคิด มาฝัน

2. จิตนิวรณ์  จิตกระหวัดนึกถึงบุคคล สถานที่ งานที่ทำ ความเครียด ความเสียใจ ความดีใจ ความรัก ก็เก็บมาคิดวกไปวนมา
จนกลายเป็นความฝัน

3. เทพสังหรณ์  เทพแจ้ง “เรื่องดี” “เรื่องร้าย” ที่จะเกี่ยวพันกับชีวิตเรา
ผ่านความฝัน  มักเกิดตอนเช้ามืด เริ่มจาก “เทพคุ้มครองตัวเรา” จากนั้นอาจเป็น “ภุมมเทวดา” หรือ “รุกขเทวดา” รวมถึง “อากาศเทวดา” และเทวดาอื่นๆ ที่เราศรัทธา เคารพนับถือ เช่น เทพยดาที่รักษา “พระใหญ่” “พระศักดิ์สิทธิ์” อาทิ พระแก้วมรกต พระพุทธโสธร พระพุทธชินราช หลวงพ่อวัดไร่ขิง
หลวงพ่อวัดบ้านแหลม ซำปอกง  เจ้าพ่อเสือ พระนารายณ์ พระพิฆเนศวร์ พระศิวะ พระพรหม ฯลฯ มาเข้าฝัน

4. ธาตุพิการ  อาหารไม่ย่อย กินอาหารย่อยยาก เช่น เนื้อสัตว์ นมบางชนิด ถั่วที่แข็ง หรืออาหารเน่าเสีย ธาตุลม ธาตุไฟเดินแปรปรวนเลยเก็บมาฝัน เป็นฝัน “เรื่อยเปื่อย”
เป็นฝันที่ “ไร้สาระ” จับประเด็นไม่ได้ ไม่ต้องเก็บมา “คิด” มา “วิเคราะห์” ให้เสียเวลา

การจัดการความฝัน คงเหลือ “ประเด็น” ซึ่งเมื่อแบ่งเรียงลำดับความสำคัญ ก็มีเพียงแค่ 2 ประเด็นเท่านั้น กล่าวคือ 1) บุรพนิมิต 2) เทพสังหรณ์

ชีวิตคนเราที่เป็น “โลกิยชน” ยังวนเวียนกับ “ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ” และ “สำเร็จ” “ล้มเหลว” รวมถึง “สุข-ทุกข์” และ “นินทา-สรรเสริญ” ดังนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องมา
“จัดประเภท” ความฝันว่า ที่เรานิมิต หรือฝันนั้น จะส่งผลต่อ “ชะตา”ชีวิตด้านเฮงหรือด้าน “ซวย”

ส่วนใหญ่ระดับ “นิมิต” จะเป็นเรื่องเกี่ยวพันกับ “ความเป็น” ” ความตาย”

ผมยกตัวอย่างตัวผมเอง สมัยที่เรียนหนังสือ ตอนที่จะจบ “ปริญญาเอก” ก็จะฝันประมาณว่าขึ้นเครื่องบิน และ “ลอย” อยู่บนฟ้า

หรือตอนจะได้โชคลาภ ประมาณว่า “เงิน” ก้อนใหญ่ ก็จะฝันเห็นพระเจ้าอยู่หัว หรือ
เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน
ทีนี้ ก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่ “ฝัน” จะต้องนำ “ความฝัน” มาเป็น “เป้าหมาย”

การกำหนด “เป้าหมาย” ความฝัน ใช้ “ระยะเวลา” เป็นเครื่องกำหนด

แบ่งเป็นระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว

ความฝันบางอย่าง ต้องทำทันที ทำทันใด ทำทันใจ ทำในบัดเดี๋ยวนั้น
ความฝันบางเรื่อง ต้องใช้เวลา

ผมมีข้อสังเกตว่า ความฝัน ที่ฝันเป็นตุเป็นตะ ฝันเป็นจริง ฝันเป็นเรื่องเป็นราว สอดคล้องกับ “ปัญหา”

ปัญหาที่มนุษย์ทั่วไปเผชิญ มี 4 ปัญหาสำคัญ
1. ความฝันที่ต้องแก้ไขทันที ต้อง “ตัดสินใจ” ทันที เร่งด่วน ต้องคิดทบทวนว่าฝันแบบนี้ เกี่ยวพันกับ “เจ้ากรรม” หรือ “นายเวร” หรือกรรมในอดีตหรือไม่
เช่นฝันเห็นญาติพี่น้อง หรือคนมาขอส่วนบุญ หรือฝันไม่ดี ต้องแก้ฝัน เช่น ปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยเต่า เป็นต้นก็ต้องรีบทำ เพื่อแก้ปัญหามิให้ลุกลามบานปลาย
ยกตัวอย่างเช่น พระนเรศวร ทรงฝันว่าพบจระเข้ แล้วต่อสู้กัน รุ่งอีกวันก็
ได้ทรงทำ “ยุทธหัตถี” เพื่อเอาชนะ “พม่า” หรือครั้งที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จไปค้างคืนที่พระนครศรีอยุธยาเพื่อบูรณะปฏฺสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาให้กลับ ดีดังเดิมแล้วทรงนิมิตฝันว่า “เจ้าของวัง”  รุมขับไล่ไม่ให้มาฟื้นฟูกรุงศรีอยุธยา จึงทรงไปสร้างราชธานีใหม่ที่กรุงธนบุรีแทน หรืออย่างเช่น “ฝันเห็นหวย” ตัวเลขสีแดง ฝันแล้วต้องรีบซื้อทันที ไม่ต้องเล่าให้ใครฟัง อย่างนี้เป็นต้น ที่แปลกเหลือเชื่อคือฝันเห็น “สมบัติ” ในดิน เช่น การพบลูกปัด “สุริยเทพ” ของเจ้าอาวาสวัดคลองท่อม กระบี่ ที่ “ภุมมเทวดา”
ต้องการให้นำมา “ขาย” เพื่อบูรณะปฏิสังขรณ์ “วัดคลองท่อม” เป็นต้น

เพื่อนผมท่านหนึ่ง  เป็นพระอยู่วัด “ดาวดึงษาราม” ไปปฏิบัติธรรมพุทธมณฑล
ในช่วงปีสุดท้ายก่อนรับปริญญาของสถาบันคือ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” แล้ว ณ ราตรีหนึ่งเกิดนิมิตรใกล้ฟ้าสางว่ามีทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒
มาชวนไปอยู่ด้วย หลังจากนั้นไม่เกิน ๑ เดือนก็มรณภาพ!!!

เรื่องนี้บังเอิญท่านเล่าให้ “เพื่อน” หลายสิบรูปฟัง วันไปฟังสวด “ขนลุก” “ขนพอง”
นำมาล้อเล่น อำกันเล่นว่า ใครจะเป็น “รายต่อไป” ที่พุทธมณฑล!!!

2. ความฝันที่แก้ไขไม่ได้ ต้องปล่อยเวลาให้ผ่านพ้นไปก่อน สักระยะหนึ่งจึงค่อยกลับไปแก้ไข เหมือนความฝันของดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ที่เกี่ยวกับ “จรวด” และสถานที่ทำงานคือ “องค์การนาซ่า” ซึ่ง ดร. อาจอง มีโจทย์ยากคือจะผลิต “แท่น”
สำหรับจรวดขณะร่อนลงดาวอังคาร แต่คิดแล้วมึนตึ๊บ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกต้อง
นอน “ฝัน” และเก็บ “นิมิต” ผสมกับ “สมาธิ” มาคิดจนคลิกแล้วปิ๊งแวบในท้ายที่สุด!!!

3. ความฝันบางเรื่อง ไม่ต้องแก้ฝัน เพราะจะยิ่งวุ่นวาย ปล่อยไว้เฉยๆ แล้วกาลเวลาจะแก้ไขด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่น ฝันเกี่ยวกับ “ช้าง” ซึ่งอาจมีความหมายว่า “ต้องแก้บน” แล้วนึกไม่ออกว่าจะไปแก้ที่ไหน

บ้างก็ฝันว่า “หมา” ไล่กัด ซึ่งตีความได้ว่าอาจมี “ศัตรู” ลอบทำร้าย หรือฝันว่า “ฟันหัก”
ก็อาจเสียญาติผู้ใหญ่ เป็นอาทิ แบบนี้ต้องพก “ทำนายฝัน” ไว้ติดตัว

4. ความฝันบางเรื่อง เราแก้ไขด้วยตัวเราไม่ได้ ต้องให้ครูบาอาจารย์ ผู้รู้ หลวงพ่อ หลวงปู่ แก้ไขให้เช่น “กรรมเวร” ผูกพันกับ “เด็ก” หรือ “ลูก” หรือคนที่เรา “ทำแท้ง” แล้วเขา “เกิด” ไม่ได้ เราต้องให้ผู้รู้ “ศาสตร์เร้นลับ” จัดการให้ หรือบางครั้ง ไปนอนค้างอ้างแรมในโรงแรม หรือสถานที่แปลกถิ่น แปลกหน้า แปลกคน แล้วเกิด “นิมิต”
แปลกๆ ซึ่งต้องอาศัย “ผู้รู้” ให้ช่วย “วิเคราะห์” และชี้แนะ “ทางออก” ให้

 

วกกลับเข้า “ชีวิตจริง” ในสมัยปัจจุบัน ซึ่งต้องแปลง “ความฝัน” เป็น “วิสัยทัศน์” และแปลง “วิสัยทัศน์” เป็น “พันธกิจ” เพื่อนำไปสู่ “เป้าหมาย” และ “ยุทธศาสตร์” “ยุทธวิธี” “ยุทธการ” ซึ่งต้องมี “กิจกรรม” และ “แผนงาน” ที่ทำแล้วเกิด “ผลกระทบ” ด้านเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้างในเชิง “นวัตกรรม” ที่มี “คุณค่า และมูลค่า
ประเด็นสำคัญคือ

1. ฝันแล้วต้องมี “เป้า” ที่ชัดเจน

2. ฝันแล้วต้อง “มี” ต้อง “เป็น” ต้อง “ทำ”

3. ฝันแล้วต้อง “สำเร็จ”

ข้อแรก เป้า เช่น ฝันอยากมีความรู้ระดับ “ปริญญาตรี” ระดับ “ปริญญาโท” ระดับ “ปริญญาเอก”
เป้าอยากมี “รถโตโยต้า” “รถฮอนด้า”  “รถเบนซ์” “รถปอร์เช่”
เป้าอยากได้ “บ้าน” ตั้งแต่ระดับ “คอนโด” “ตึกแถว” “ทาวน์เฮาส์” “บ้านเดี่ยว” จนถึง
“คฤหาสน์” เมื่อกล้าที่จะฝันแล้ว ก็ต้องกล้าที่จะริเริ่ม กล้าที่จะออกเดิน เสาะแสวงหาให้ได้ตาม “เป้า” ที่ฝันเอาไว้
ข้อ 2 ฝันแล้วต้อง “มี” ให้ได้ เมื่อฝันแล้ว ห้าม “จะ” ห้าม “อยาก” ต้องบอกตัวเองว่า “มีแล้ว” “ได้แล้ว” “เป็นแล้ว”สร้าง “ภาพ” (Visualization) สร้างจินตนาการว่า “มี” เช่น มีเงินแสน มีเงินล้าน มีการศึกษา มีงานที่มั่นคงมีรายได้สม่ำเสมอ มีบ้าน มีรถ ฯลฯ

ข้อ 3 ฝันแล้วต้อง “สำเร็จ” เช่น ฝันว่าต่อไปได้เป็น “เจ้าของกิจการ” ก็พยายามทำให้ได้ดังฝันฝันว่า “เฮง” “เก่ง” “รวย” ก็พยายามทำให้เฮง ทำให้เก่ง สร้างฐานะให้ร่ำรวย

เป้าหมายความฝัน มีไม่กี่เรื่อง

1. ฝันและอยากจะมี “เงิน” ก็ขยัน มุ่งมั่น ทุ่มเท ทำงานแบบ Work Smart
ทำแล้วได้ “เงิน” ตามที่ฝัน เริ่มจากฝัน “เล็ก” เริ่มต้นที่เงินหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน ค่อยๆ ไต่ระดับ
อย่า “โลภ” มาก บริหาร “ความโลภ” ให้เป็น
2. ฝันและอยากจะมี “วุฒิการศึกษา” ระดับปริญญาตรี ระดับปริญญาโท ระดับปริญญาเอกก็หมั่นศึกษาเล่าเรียน ขวนขวาย ดิ้นรน เสาะแสวงหา สถาบันการศึกษาที่ “เหมาะสม” กับตัวเรา Save time, Save Money, Save Energy
3. ฝันและอยากจะมี “บ้าน” ก็ขยัน ทำทุกวิถีทางให้ได้งาน ได้เงินเพื่อซื้อ “บ้าน” ตามที่ฝัน
4. ฝันและอยากจะมี “รถ” ก็ดิ้นรน หาเงินมาผ่อนรถ ทำงานหลายชิ้น ไม่เกี่ยงงาน เกี่ยงรายได้
5. ฝันและอยากจะมี “งาน” ที่มั่นคง ก็หางานที่เป็น Passive Income (มีรายได้หลายทาง)
และ Active Income (รายได้แบบเป็นเงินเดือน) ค่อยๆ ไต่ระดับเช่นกัน
ในท้ายที่สุด เมื่อ “ฝัน” แล้ว ส่วนใหญ๋จะต้อง “ฝันเงียบๆ” อย่า “ฝันดัง” จนเวอร์
เพราะสังคมไทยไม่ชอบคนที่ “ดี เด่น ดัง” เก็บความฝันแล้วทำให้เป็นจริง ประกาศตูมเดียวจบ เหมือน “เถ้าแก่น้อย” “ตัน ภาสกรนที” หรือ “ตั๊ก บงกช” ที่สานฝัน “พี่ใหญ่” หรือเจ้าสัวบุญชัย เบญจรงคกุล ให้เป็นจริง

จะฝันเป็นจริง หรือฝันกลางแดด หรือ “กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นเปลว” อยู่ที่ “กรรม” คือการกระทำที่ “ตัวเรา” เป็นผู้กำหนด!!!

Comments

comments