๒๕๗. “๑๑ เมษายน ๒๕๓๗”

๑๑.๔.๒๕๖๗

ข้ออรรถ ข้อธรรม

“๑๑ เมษายน ๒๕๓๗”

อุทิส ศิริวรรณ

เขียน

บทความนี้ยาวถึง “สี่สิบหน้าเศษ” ขนาด A4

ผมตั้งใจเขียน เป็นวิทยาทานและธัมมทาน

นานๆ จะคิดและเขียนที

เน้น ให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจ
พัฒนาคุณค่า คุณภาพ คุณธรรม
ทุกคนในสังคม ที่มีโอกาสเข้ามาอ่านกัน
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
ให้ธัมมะ ขนะทุกทาน
แบ่งอ่าน ค่อยๆ อ่านสะสม สัก ๘ ครั้ง
ผมเขียนรวดเดียว ตลอดวัน

ที่จริง มีหลายประเด็น

แต่เกริ่นนำ เรื่องแรก “โฟกัส”

อธิษฐาน ปรารถนา ต้องการ

หลายเรื่อง หลากความคิด

 

============

วันนี้ ในอดีต เมื่อ ๓๐ ปีก่อน
ผมเผชิญทางสองแพร่ง
– จะอยู่ต่อไป หรือจะสึกดี
สมัยนี้ เรียกว่า จะเดินออกจาก comfort zone
หรือจะอยู่เป็นพระราชาคณะ เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
วัดใด วัดหนึ่ง

นับแต่กรกฎาคม ๒๕๒๒
ถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๓
ผมทำฝันให้เป็นจริงได้เรื่องแรก
แต่ก็กว่า ๑๑ ปี กว่าจะถึงปลายทางที่ฝัน
“สามเณรเปรียญธรรม ๙ ประโยค”
นาคหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์
อุปสมบท ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เป็นฝันเล็กๆ ของชายคนหนึ่ง

จาก ๓๐ มิถุนายน ๒๕๓๓
ถึง ๑๑ เมษายน ๒๕๓๗
ตลอด ๓ ปี ๙ เดือนเศษ
ปลายเดือนมีนาคม ๒๕๓๗
เป็นการเปลี่ยนแปลง ครั้งยิ่งใหญ่
ครั้งสำคัญ ในชีวิต

ผมหารือ “อนาคต” กับ
หลวงพ่อสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม
บอกท่าน อยากไปเรียนต่อปริญญาเอก ที่สหรัฐอเมริกา
ท่านนิ่ง รับฟังเหตุผล คำอธิบายเงียบๆ
ท่านสรุป ไม่เหมาะจะไปเรียนเป็นพระ

ท่านตรวจดูวันเดือนปีเกิด เวลาเกิด คร่าวๆ
บอกสั้น ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต
จะสึกต้องดูฤกษ์

ฤกษ์ที่ได้คือ เช้ามืด ๑๑ เมษายน ๒๕๓๗

หลวงพ่อสมเด็จบอก
“ตื่นแต่ดึก สึกแต่หนุ่ม”
ท่านเองสมัยหนุ่ม อยากสึกไปเป็นทหาร
แต่กองทัพบก อนุมัติตำแหน่งแค่ร้อยตรี
ไม่ให้ท่านเริ่มต้นที่ร้อยเอก
ท่านเลยไม่ลาสิกขา
บวชต่อ จนได้เป็นสมเด็จ

 

เล่าจบ ท่านหัวเราะ ชิลๆ อารมณ์ดี

ไม่ห้าม ไม่ปรามผม

 

แต่แย้มแผนในใจท่านว่า

ถ้าผมทนอยู่ครบ ๑๐ พรรษา

จะเสนอมหาเถรสมาคม ตั้งเป็นพระราชาคณะ
พร้อมด้วยตำแหน่งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
วัดใดวัดหนึ่ง

 

แต่เมื่อผมไม่สนใจไปต่อทางธรรม

 

ท่านก็ไม่ว่าอะไร

ผมลืมนึกไปว่าท่านเป็นถึงสมเด็จเจ้าคณะใหญ่หนกลาง
ท่านสามารถให้ยศ ให้ตำแหน่งที่น่าหมายปอง ไม่ต้องดิ้นรนใดๆ

แต่วาสนาขะตาผม ไม่ไปทางนั้น

ผมรักอิสระ มีวินัย แต่เข้าใจระบบปกครองวัดวาอารามดี

—————-

ผมลาสิกขาที่วัดชนะสงคราม ในพระอุโบสถ
ท่ามกลางสักขีพยาน คือพระเปรียญธรรม ๙ ประโยค ล้วน
เท่าที่จำได้คือ
– พระพรหมกวี (ประกอบ ป.ธ. ๙)  วัดกัลยาณมิตร
– พระเทพสาครมุนี (สมบูรณ์ ป.ธ. ๙) วัดเจษฎาราม สมุทรสาคร
– พระเทพวัชราจารย์ (เทียบ ป.ธ. ๙) วัดพระเชตุพน
– พระศรีสุทธิพงษ์ (สมส่วน ป.ธ. ๙) วัดศรีสุธรรมาราม อำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์
– พระมหาวิโรจน์ คุ้มครอง ป.ธ. ๙ วัดชนะสงคราม ล่าสุดเป็น รองศาสตราจารย์ ดร. วิโรจน์ คุ้มครอง
– พระมหาธานี สุวรรรณประทีป ป.ธ. ๙ ล่าสุดเป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธานี สุวรรณประทีป
ประมาณ ๙ รูป

 

อีก ๓ รูป เป็นเปรียญ ๙ วัดชนะสงครามล้วนๆ

ผมไม่คุ้นเคย เลยจำชื่อไม่ได้
ทางวัดชนะสงคราม นิมนต์ให้

——————

ดึกดื่นคืนวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๓๗ นั้น
ผมนึกถึงบทกวี “สุนทรภู่”
“เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
ยามดึกนึกหนาวหนาว เขนยแนบ แอบเอย
เย็นฉ่ำน้ำค้างย้อย เยือกฟ้าพาหนาว ฯ “

เช้ามืด นั่งแท็กซี่ออกจากวัดราชบุรณะ
พร้อมกับพระมหาสมส่วน ปฏิภาโณ ป.ธ. ๙ (สมัยนั้น)
คุยกันสัพเพเหระ

 

ลึกๆ ในใจ ก็กังวล อ้างว้าง
สึกออกไป จะกิน จะอยู่ อย่างไร

คล้ายเทวดาตกสวรรค์ หมดบุญอยู่ทิพยวิมาน แดนสรวง

คำที่ปรากฏในใจ “เหน็บหนาว”
เมื่อต้องเดินออกจาก Comfort Zone

==================

ถึงเวลา หลวงพ่อสมเด็จวัดชนะ
ทำพิธีลาสิกขาเรียบง่าย
เท่าที่จำพิธีกรรมสำคัญได้ คือ “รดน้ำมนต์” ในบาตรมหึมา
อากาศตอนรุ่งสาง ค่อนข้างเยือกเย็น
หน้าพระอุโบสถวัดชนะสงคราม ไม่มีใคร

ท่านให้นั่งพนมมือ เหยียดขาตรง
แล้วอธิษฐาน สิ่งที่ต้องการ สำเร็จ สมหวัง
ระหว่างนั้น ท่านก็จุดเทียน ที่ประจุดวงชะตา
แล้วพรมน้ำพระพุทธมนต์ ที่พระสงฆ์เปรียญ ๙ จำนวน ๙ รูป
เจริญพระปริตรคาถาบทสวดต่างๆ ที่เป็นสิริมงคล

————

วันที่ลาสิกขาพ้นวัด
เหลือแค่ “โยมอุปัฏฐายิกา” กับ “พี่” ที่เสมือน “พี่ชาย”
เพียงแค่ ๒ คน

เสร็จพิธี ก็ต่างแยกย้าย

ยังจำคำพูดโยมที่อุปถัมภ์ได้
บอกเสียดาย ถ้าอยู่เป็นพระราชาคณะ ค่อยลาสิกขา
จะปูนบำเหน็จ ให้เต็มที่

เมื่อผมเลือก “ลาสิกขา”

ขณะเป็นพระมหาอุทิศ อุทิตเมธี ป.ธ. ๙
อายุ ๒๖ พรรษา ๔
สิ่งที่ได้คือ “ความว่างเปล่า”

——————-
เวทีแห่งนี้ ไม่มีพี่เลี้ยง

สิ่งที่ฝึกวันแรกคือ “ผูกเนคไท”
โชคดี ที่กุฏิวัดเลียบ (ชื่อที่ชอบเรียกกัน ชื่อจริง วัดราชบุรณะ
เหมือนวัดพระเชตุพน เรียก วัดโพธิ์ วัดจักรวรรดิ เรียก วัดสามปลื้ม)
มีพระใหม่ จากออสเตรเลีย มาบวช
เลยช่วยสอน “ผูกเนคไท”
นอกนั้น พึ่งพาตัวเอง

————

สิ่งที่ทำ เมื่อลาสิกขาใหม่ๆ

ผมอยู่วัดอีก ๗ วัน
ระหว่างนั้น ก็กวาดลานวัด ทำความสะอาด
เก็บของ เรียกสามเณรทั้งหลาย มาเอาของที่มี
ของกิน ของใช้ ไตรจีวร ทุกสิ่งที่พอมี
แจกจ่าย ถวายพระและสามเณรหมด

ครบ ๗ วัน ที่ขนออกจากวัด คือหนังสือส่วนตัว
ตอนนั้น สะสมได้ ๖๐ ลังเบียร์
สมบัติมีแค่หนังสือ
จนถึงบัดนี้ ก็ไม่ต่างกัน
แต่ปริมาณสะสม ตลอด ๓๐ ปี มากกว่าในอดีต
สมัยนี้ คง ๓,๐๐๐ ลังเบียร์ เป็นอย่างน้อย
ไม่อยากบอกว่าอาจถึง ๓๐,๐๐๐ ลังเบียร์สิงห์

เหลือเงินติดตัวแค่ ๒,๐๐๐ บาท
ถวายสามเณรทั้งหลาย ที่เป็นศิษย์บ้าง
ที่คอยอุปถัมภ์บ้าง
จำได้ว่ามีเงินเหลือจากถวายพระ ๙ รูป
รวม ๖,๐๐๐ บาท

 

แบ่งถวายสามเณร ๔,๐๐๐ บาท
เหลือติดตัวแค่ ๒,๐๐๐ บาท
พร้อมพระเครื่อง ไม่กี่องค์ ที่มี เช่น

ห่อพระที่มีคนอยุธยา นำมามอบให้ เมื่อหลายปีก่อน
อ้างว่าให้มาวัดเลียบ เจอใครคนแรก คนนั้นแหละ เจ้าของในอดีตชาติ
ไม่ใช่พระมีราคามากมาย เช่น พระปรุหนัง ที่ว่ากันว่าบุรพกษัตริย์องค์หนึ่งสร้างไว้

พระคเณศ เทพเจ้า และพระกรุ อยุธยา ราวแค่ ๔-๕ องค์
นอกนั้นก็เป็น พระวัดปากน้ำ ไม่ใช่รุ่นเก่า แค่รุ่น ๖ รุ่นสร้างพระไตรปิฎก

สมัยนั้น ยังไม่มีพระเครื่องดีๆ ใช้

บุญวาสนา ยังไม่ดีพอ

โชคยังไม่มา

—————-

ชีวิตเรียบง่ายในปีแรก ๒๕๓๗

ปรับตัวอยู่อพาร์ตเมนต์ แถวสะพานพระปิ่นเกล้า
จำได้ว่า ทางพี่ที่นับถือราย
ลงทุนเช่าให้พัก
เพราะตั้งใจกวดวิชาที่ “โรงเรียนเสริมหลักสูตร”
ของอาจารย์สงวน วงศ์สุชาต
กวดวิชาอยู่ราว ๓ เดือน ก็บินไปนิวยอร์ก

ชีวิตช่วงนี้ เหมือนนักศึกษา ไ่ม่มีภาระใดๆ
เช้าสายบ่ายเย็นค่ำ ขลุกอยู่แต่ในโรงเรียนแถวศาลเจ้าพ่อเสือ

ได้เพื่อนใหม่ๆ เพียบ จบจุฬาฯ จบธรรมศาสตร์ จบดีๆ กันทั้งนั้น

 

————

คนดี มี ๑ ถึงจะน้อยที่คบหา
ดีกว่าคนนับ ๑๐๐ ที่อิจฉาริษยา
ต่อหน้าพูดจาดี  ลับหลังทำอย่าง

สัจธรรมที่ได้คิดคือ
คนดีๆ ที่นับถือชอบพอ
ไม่ต้องมาก มีแค่หลักเดียว คนสองคนสามคนสี่คนห้าคนหกคนเจ็ดคนแปดคนเก้าคน
คนส่วนมาก มีคนรู้จัก ไม่เกิน ๙ คน

เขียนเป็นทฤษฎีได้ เรียกว่า
Theory of At least Single Person
แปลว่า ทฤษฎีมีคนคุ้นเคยอย่างน้อยเพียงแค่คนเดียว

หลักปฏิบัติ ที่ทุกวงการปรับใช้ได้
พยายามโฟกัส อธิษฐาน ให้ชีวิตจริง
เจอคนอย่างน้อยคนเดียว
ที่สนับสนุน ส่งเสริม อุปการะ อุดหนุน อุปถัมภ์
ชี้ช่องทาง เปิดโอกาสให้เรา

ใดๆ อยู่ที่ “มโน”
ต้องใช้ “ใจ” โฟกัส

ผมเล่าความจริงว่า
ตลอด ๓๐ ปี
ผมเจอ คนจริง คนดี เสมอ

แต่ไม่มาก

ส่วนมาก เจอแต่คนอาสัตย์ อาธรรม์

ปากอย่าง ใจอย่าง

แต่ไม่ถือสา ถือว่าได้สอนให้ผมเข้าใจ
และปรับตัว รับภัยจากคนเหล่านี้ให้ได้

คนอาสัตย์ ไม่รับผิดชอบ
มีผลทำให้เรา
-เสียเงิน
-เสียเวลา
-เสียความรู้สึก

เลือกได้ อธิษฐานจิต อย่าเจอคนอาสัตย์ อาธรรม์

————–

Theory of At least Single Person
แปลว่า ทฤษฎีมีคนคุ้นเคยอย่างน้อยเพียงแค่คนเดียว

ประสบการณ์ ๓๐ ปี ที่พ้นวัดวาอารามมา
ผมผ่านการหล่อหลอม หลอมรวม ละลายพฤติกรรม
หลากหลายวงการ

ชีวิตที่ผ่าน สอนผมอยู่ข้อว่า
คนเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด
ขอให้มีคนคุ้นเคย นับถือ ชอบพอ
เห็นอกเห็นใจ อย่างน้อยเพียงแค่คนเดียว
ที่เข้าใจเรา และตัวตนเรา
ยอมรับเราได้ เพียงแค่คนเดียวก็เกินจะพอ

ที่แน่ๆ การสึก คือการสลายอัตตา
พอปรับตัว ไหว้คนอื่น แทนที่จะให้คนไหว้
ทำใจได้ว่า ต้องยอมรับใช้คนอื่น ติดดินได้
ปรับตัวได้ เข้าสังคมได้ ก็อยู่ได้ง่ายกว่าอยู่ในวัด

—————

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ

เล่าจากประสบการณ์ตรง
ไม่ว่าจะตอนโกนหัว เข้าวัด นุ่งเหลือง ห่มเหลือง
หรือวันที่เดินออกจากวัด
ไว้ผม นุ่งลาย ห่มลาย
จะคล้ายกันอยู่ข้อ
มาคนเดียว ไปคนเดียว ตัวคนดียว ตายคนเดียว

ดังนั้น ยึดคติ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
เมื่อหาใครสักคนเป็นที่พึ่งไม่ได้
ตนแล ต้องเป็นที่พึ่งของตน
ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน

———-

คิดแบบพระ คิดแบบคนรวย แตกต่างกัน

ผมมี ท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ. ๙, ราชบัณฑิต)
เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้คอยให้กำลังใจ คอยให้คำแนะนำ ในการใช้ชีวิต
ท่านสอนผม หลายคำสอน อย่างเช่น
ลาสิกขาพ้นวัด ต้องสร้างฐานะ การเงิน การงานให้มั่นคง
คิดจะมีบ้าน อย่ามีหลังเล็กๆ ให้มีคฤหาสน์อยู่
อย่างน้อย ๒๐๐ ตารางวา กันคนวัดด้วยกัน
ด้อยค่า ดูหมิ่น เหยียดหยาม
เหยียบย่ำ พูดจาให้ช้ำใจ

=====================

ท่านชอบยกตัวอย่าง ท่านประทับใจคำสอน หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คำสอนสั้นๆ คือ

“ขุดบ่อ หล่อธารา ให้อุตส่าห์ ขุดร่ำไป

ขุดตื้น น้ำบ่มี ขุดถึงที่ น้ำจึงไหล”

คำสอนนี้ ผมนำมาใช้จนถึงทุกวันนี้

คือทำอะไร ต้องทำให้สุดๆ อย่าหยุดแค่ครึ่งทาง

ยกตัวอย่าง เรียนทางธรรม ก็เรียนให้จบชั้นสูงสุด เปรียญธรรม ๙ ประโยค

เรียนทางโลก ก็เรียนให้จบระดับปริญญาเอก คือ ดร.

ทำงานวิชาการ สอนมหาวิทยาลัย
ก็ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง

ทำผลงานวิชาการ
ให้มหาวิทยาลัยที่สังกัด ยกย่องเป็นศาสตราจารย์

 

ส่วนตำแหน่งราชบัณฑิต
ถ้าคิดจะเอาดี
ต้องจัดเวลาไปประชุม เดือนละ ๒ ครั้ง หมั่นเขียนบทความเสนอ
หาราชบัณฑิต ๒ คน รับรอง

วันหนึ่ง อยากเป็นราชบัณฑิต ก็ได้เป็นสมใจ ถ้าจะเอา

เล่นการเมือง ก็พยายามเดินให้สุดทาง
ให้ได้เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. แล้วแต่เส้นทางจะเลือก

 

ที่แน่ๆ

ทำงาน ก็พยายามสร้างตัว
มีบ้าน มีรถ มีครอบครัว
มีเงิน พอกินพอใช้ ตลอดชีพ

——-

ในโลกแห่งความฝัน
และโลกแห่งความจริง
เรื่องราวทุกสิ่ง แตกต่างกันมากมาย

ออกมาโลดแล่นในวิถีปุถุชน
ที่ต้องหากินเลี้ยงชีพตนเอง

ไม่ง่าย ที่จะบำเพ็ญทานบารมี สังคมสงเคราะห์
หลายราย ส่วนมาก ออกไปแล้วล้มเหลว เลยไม่กล้ากลับมาเยือนวัดเก่า

เอาเข้าจริง เวลาลงสนามจริง หมดเวลา
เวลามีน้อย เวลามีจำกัด
จะทำอะไรทุกอย่างให้สำเร็จตามฝันและหวัง
บอกตามตรง เป็นพระมีเวลาเหลือเยอะกว่า

สังคมเชื่อมั่น ไว้วางใจ นับถือ ศรัทธา เลื่อมใส มากกว่า

เพราะไม่ต้องยุ่งกับการเสียเวลาทำงานทำเงิน
ชาวบ้าน ต้องทำมาหากินเอง ขอเงินใครใช้ไม่ได้

 

ดังนั้น การคบคน เอาเข้าจริง ต้องคบหลากหลายวงการ

อย่าคบ คนเพียงคนเดียว อย่าอ่าน หนังสือเพียงเล่มเดียว
แม้ความเป็นจริง อาจคบคนน้อย
อาจอ่านหนังสือน้อย

แต่ถ้าเปิดใจ คบคนหลากหลายวงการ แต่ลึกๆ คบจริงเพียงแค่ไม่กี่คน
อ่านหนังสือหลากหลายวงการ แม้ความจริง จะสนใจเพียงแค่ไม่กี่เล่ม

ก็จะพบช่องทางและโอกาสได้
แต่ละคน มีช่องทาง มีโอกาส หลากหลาย
ซึ่งถ้าใจกว้าง จะพบโอกาสอีกมาก

ดังภาษิตคำคม อดีตประธานาธิบดีอินเดีย 
ดร. อับดุล กาลาม เล่าว่า
โอกาส ที่แปลจากอังกฤษว่า
O Opportunity
มี ๓ แบบ
คำอังกฤษว่า yesterday
ให้สังเกต ไม่พบคำ O

คำว่า today จะพบ O โอกาส เพียงแค่ครั้งเดียว
แต่คำว่า tomorrow O โอกาส
พบมากมายถึง ๓ ครั้ง

ต้องขบคิด จนตกผลึกว่า ชีวิตจริง
คนทั่วโลก มี ๒ แบบ
แบบแรก ทฤษฎี-ปฏิบัติ- ประสบการณ์
แบบหลัง ประสบการณ์-ปฏิบัติ-ทฤษฎี

คนทั่วไป แปรความฝันเป็นความจริง ด้วยหยาดเหงื่อแรงงาน

แต่คนไม่กี่ราย แปรความฝันให้กลายเป็นความจริง
ด้วยข้อมูล และโอกาส
ระดับการสร้างตัวของคน มีขั้นมีตอน เริ่มจาก
ขั้นแรก เสื่อผืน หมอนใบ
ขั้นที่ ๒ หยาดเหงื่อ แรงงาน

ขั้นที่ ๓ หยาดเลือด หยดน้ำตา
ขั้นที่ ๔ มันสมอง สองมือ

ขั้นที่ ๕ ข้อมูลและโอกาส

จะรุ่งเรืองก้าวหน้า
ต้องถามตนเอง
ทำงานอยู่ในขั้นตอนใด ?

===================

ภาพสะท้อนความจริงในอดีต

คนไทย เมื่อปี ๒๕๓๗
อยู่ในขั้นที่ ๒ หยาดเหงื่อ แรงงาน
กับขั้นที่ ๓ หยาดเลือด หยดน้ำตา
คือเอาแต่ก้มหนาก้มตาทำงาน
ทำไปทำมา ปี ๒๕๔๐ เมื่อ ๒๗ ปีก่อน
เศรษฐกิจพัง ล้มครืน ล้มดัง
มีแต่คนที่ เจ๊ง-เจ็บ-จน กันเป็นแถบๆ
อนาคตพังยับ ฝันสลาย
หยาดเลือด หยดน้ำตา ทุกหย่อมหญ้า

แต่ยังมีคนที่ยกระดับถึงขั้นที่ ๔ มันสมอง สองมือ
พึ่งพาตนเอง ไม่คิดพึ่งพาใคร ยืนหยัดด้วยลำแข้งตนเอง
ในที่สุด ก็ยกระดับขึ้นสู่ ขั้นสูงสุด
นั่นคือ ข้อมูลและโอกาส
ใช้ข้อมูล แลกเปลี่ยนข้อมูล เจาะช่องทา หาโอกาส

ปัญหาคือ วิถีชาวบ้าน ไม่มีใครให้โอกาส 
ไม่มีคนชี้ช่องทาง

มีแต่เก็บโอกาสดีๆ และช่องทางไว้
เพื่อตนและพวกพ้อง

ที่จะใจกว้าง ใจดี ใจถึง หนุนเต็มร้อย 

บอกตรง หายาก

——————–

คิดเท่าฝรั่ง แต่ทำแบบไทย
คนไทย ใจฝรั่ง

ศาสตร์การจัดการทันสมัย ในและนอกระบบ ที่นิวยอร์ก
สอนผมหลายเรื่อง ที่สำคัญคือ
– หลักใช้ มันสมอง สองมือ
– หลักทำ ลงทุนซื้อข้อมูล แสวงหาโอกาส

ผมทำงานในสหรัฐนาน ทุกวันนี้ก็ยังคงทำผ่านระบบไฮเทค ทันสมัย

ประสบการณ์ทำงาน สอนผมว่า
ให้ใช้ชีวิตและงานแบบ
“คนไทย ใจฝรั่ง”
คือหน้าตาไทยๆ แต่ใจ สมอง ทันสมัย
ใจกว้าง มีเหตุมีผลแบบฝรั่ง

คือคิดและทำแบบ พุทธผสมผสานวิทยาศาสตร์และไฮเทคโนโลยี

จะคิดและทำแบบฝรั่งเลย ไม่ได้ เพราะฝรั่งเอง
ยอมรับกันว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นำฝรั่งเข้าสู่กับดักแห่งหลุมดำคือ อวิชชา
มีแต่บาลี คำสอนพุทธดั้งเดิมเวลานี้

ที่จะช่วยยกระดับจิตฝรั่ง ให้หลุดพ้นจากความทุกข์
ไฮเทค ไฮทัช  ทันสมัย ใช่ว่าจะนำพาฝรั่งพ้นทุกข์

ทุกวันนี้ เราจึงได้พบสถิติใหม่
คนสำเร็จหลายคน หลงผิดคิดฆ่าตัวตาย เพราะโรคอุบัติใหม่

“โรคซึมเศร้า” “โรคเครียด” “โรคมะเร็ง” สารพัดโรค

 

ข้อสังเกต หายากที่ฝรั่งจะใจบุญ ทำบุญ ทำทาน

ฝรั่งชอบแค่นั่งสมาธิ บางวัดมีฝรั่งขึ้น นับถือ จำนวนมาก

 

ปัญหาคณะสงฆ์คือ
ขาดการสนับสนุนส่งเสริม
พระหนุ่มเณรน้อย

 

ฝากไว้ให้ขบคิด

 

เพราะถ้าปล่อยให้ต่อสู้ชีวิตแบบผม
น้อยรายจะโขคดี กับจังหวัะและโอกาสทอง
ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

ผมเชื่อคติ กตปุญฺญตา
แปลว่าเคยทำบุญไว้ดีแต่ปางก่อน

=================

หลักธัมมะ ขับเคลื่อนชีวิต
ตลอด ๓๐ ปี

ผมหลุดพ้นจาก “อบายมุข” “อบายภูมิ”
ส่วนสำคัญเพราะผมใช้หลัก “พระธรรมวินัย”

โดยเฉพาะการรักษาใจ ข่มใจ
มิให้ฟุ้งเฟ้อ มัวเมาในกิเลส

ยกตัวอย่าง ศีล ผมไม่ได้สมาทานศีลชั้นสูง
ใช้แค่ ศีล ๕ ไม่ถึงขั้นสมาทานศีล ๘
นุ่งขาว ห่มขาว
แต่รักษาจิตให้สะอาด สงบ สว่าง ตลอดเวลา

พระธรรมคำสอน ผมใช้แค่ “ทาน – ศีล – ภาวนา”
ฝึกจิต ระวัง มิให้ “โลภ/ราคะ โทสะ โมหะ”
ทำลาย อุดมคติ อุดมการณ์ ศีลและธัมมะ ในใจผม

ผมยังคงมีฝันและหวังเพื่อวัดวาอาราม
คือคิดเสมอว่า ได้ดิบได้ดี ถึงจุดหนึ่ง
จะกลับมาช่วยวัด

ในปี ๒๕๕๗ ผมได้ช่วยกันทำ
กองทุนนิตยภัตร อุปถัมภ์
พระสงฆ์สามเณรเรียนบาลีสนามหลวง
น่าชื่นใจว่า ทำต่อเนื่อง จนถึงบัดนี้

ครั้งที่ ๑๒๔ ปีที่ ๑๑
มหาสังฆทาน เดือนเมษายน ๒๕๖๗

ต่อมา ในปี ๒๕๕๙ ผมก็ได้ทำ
โครงการมหาสถูปธัมมเจดีย์
สนับสนุนส่งเสริม การค้นคว้าวิจัยพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท
ผลงานที่เกิดมีคือ
-คัมภีร์สัททสังคหะ อุณาทิกัณฑ์ มหาบาลีไวยากรณ์อันยิ่งใหญ่
สาย ๔ ของโลก ต่อจากคัมภีร์กัจจายนะ โมคคัลลานะ สัททนีติ
-พจนานุกรมพระไตรปิฎกบาลีเถรวาท ชุด ๒๓ เล่ม ฉบับเฉลิมพระเกียรติ
รัชกาลที่ ๑๐

————-

แม้ผมจะไฮเทค ทันสมัย
อยู่ในวงการสังคมชนชั้นสูง มีการศึกษาสูง
มั่งมี มีฐานะ ผมก็ไม่เคยละเลย
ลืมเลือน ยังคงเห็นความสำคัญ

ทำบุญทำทาน นำและทำ ตามกำลัง ตลอด ๓๐ ปี
สะสมบุญ บำเพ็ญบุญ ทาน ศีล สมาธิ ภาวนา ประจำ
แต่ผมไม่ได้สร้างภาพ ทำตัวเรียบง่าย ติดดิน
เสมอต้นเสมอปลาย

จะแสดงตัว ปรากฏตัว เมื่อถึงวันเวลาที่จะออกหน้าเวที
ส่วนมาก เก็บตัวเงียบๆ ไม่ยุ่งกับใคร

สิ่งที่ผมลงมือปฏิบัติจนได้ผล
ผมใช้ “หลักธัมมะ” ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ขับเคลื่อน “ความสำเร็จ” ในชีวิต
หลายข้อ ผสมผสาน

ยกตัวอย่าง

ผมใช้หลัก “อิทธิบาท ๔”
“พรหมวิหาร ๔”
“สังคหวัตถุ ๔”
“เทวธรรม ๒”

วิถีชีวิตในสังคม
ผมใช้หลัก “มัชฌิมาปฏิปทา”
เดินสายกลาง
กอปรกับ “หลักอริยสัจ”
ไม่เคร่ง ไม่สุดโต่ง ไม่ย่อหย่อน

เข้ากับได้กับชาวพุทธทุกสาย
รวมถึงมีเพื่อนหลากหลายศาสนา ทุกวงการ

ไม่ทำตัวให้คนอึดอัด ชิลๆ สบายๆ

ไม่วิวาทะใคร ไม่สร้างศัตรู
ยึดคติ อย่ามีศัตรูแม้แต่รายเดียว

 

เอาเข้าจริง ยามดวงตก ดวงไม่ดี
ศัตรู ก็พุ่งเข้าหา มุ่งโจมตีเอง

ที่บอกไม่ยุ่งใคร ไม่มีหลักประกันว่าจะไม่มีใครยุ่ง
ถ้ายังยุ่งเกี่ยวกับ ตำแหน่ง อำนาจ และเงินตรา

ถ้าไม่อยากยุ่งยากใจ วุ่นวายใจ เดือดร้อนใจ
หางานที่คนทั่วไป ไม่อาสา ไม่เข้าใจ ไม่กล้า
งานที่ทำแล้ว ไม่ได้ตำแหน่ง ไม่มีอำนาจ ไม่ได้เงินใช้
เช่น ทำกองทุนนิตยภัตร อุปถัมภ์พระสงฆ์สามเณร ๕๐๐ กว่ารูป
โครงการมหาสถูปธัมมเจดีย์ สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยบาลีชั้นสูง

ตลอด ทศวรรษ ไม่มีใครมายุ่ง เพราะยากและกลัวจ่าย

===============

เข้าใจคน เข้าใจงาน เข้าใจชีวิตจริง

 

ผมอยากเล่าไว้ ให้รุ่นหลังได้ศึกษา เรียนรู้

ผมคลุกคลีอยู่ในแวดวงศาสตร์ทันสมัย
ทำงานในวงการคนทันสมัย ที่ย่านดาวน์ทาวน์นิวยอร์ก
ทำงานกับฝรั่ง นานกว่าทศวรรษ
สิ่งที่ผมพบคือ ฝรั่ง ไม่มีความสุข เอาเข้าจริง มีแต่ลุ่มหลง
ในสิ่งมอมเมา ที่ฝรั่งปรุงแต่ง รูป-เสียง-กลิ่น-รส-แสง-สี-เสียง-สัมผัส
Sex Bar Beer  วันแล้ววันเล่า เป็นแบบนี้ หลายราย

ฝรั่งทุกวันนี้ เผชิญภัยคุกคามรุนแรงทางจิต ยิ่งกว่าชาติใดในโลก
เพราะทันสมัยทางวัตถุ แต่ไม่พัฒนาทางจิต

 

ฝรั่งที่คิดได้ ปลงตก เปิดใจ ใจกว้าง มีบุญสัมพันธ์

ส่วนมากเวลานี้ หันมาสมาทานศีล ทำสมาธิ เจริญสติ บำเพ็ญภาวนา
แต่ฝรั่งส่วนมาก ไม่ชอบทำ “ทานบารมี”

สิ่งที่ MBA ไม่ได้สอนคือวิธีเอาชนะความทุกข์
หลัก Maximize Wealth ทำความมั่งคั่งสูงสุด
พอมีเงินเยอะแยะมากมาย ฝรั่งที่นิวยอร์กหลายคน

พบว่าบนยอดภูเขาแห่งความสำเร็จ กลวงแท้ ว่างเปล่า
ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆ มีแต่ต้องเริ่มจากศูนย์ นับหนึ่งใหม่
คล้ายวงจรคอมพิวเตอร์
01 10 01 01 01 10…. วนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหลุดพ้นจากวงจรปฏิจจสมุปบาท
ภาพใหญ่คือ “สังสารวัฏ” ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพชาติ ภพแล้วภพเล่า

ทว่า ถึงที่สุด ความสำเร็จสูงสุดคือ วิมุติ ยกจิตให้พ้นทุกข์
ไม่เกินหลักที่พระพุทธเจ้าสอน

-เกิดเป็นคน ยาก จิตมนุษย์นั้นไซร้ ยากแท้หยั่งถึง ถึงที่สุด

-อย่าทำงานด้วยความโลภ อย่าให้เงินนำ อย่าให้เงินสำคัญ

– อย่าเป็นทาสของเงิน แต่จงใช้เงินให้เกิดคุณค่าและคุณภาพ รวมถึงคุณประโยชน์
– เกิดเป็นคน อย่ายึดติดในยศ ตำแหน่ง เกียรติยศ ชื่อเสียง

เพราะพอยึดติด ก็จะหวงแหน สิ่งที่มี เมื่อกลัวสูญเสีย กลัวพลัดพราก
ก็จะฉุนเฉียว หงุดหงิด หวาดผวา ระแวง บันดาลโทสะ อาฆาตมาดร้าย ผูกใจเจ็บ

คำพูดคน เพียงไม่กี่คำ หมั่นไส้คน เพียงไม่กี่คน โทสะ ทำลายอนาคตคนดับวูบลง
นับไม่ถ้วน เลือกได้ อย่าทำงานที่แก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นกับคนทั่วไป

-อย่าทำงานด้วยความงมงาย ความลุ่มหลง ความมัวเมา ไม่ว่าจะมัวเมาในอำนาจ
มัวเมาในตำแหน่ง มัวเมาในคำสรรเสริญเยินยอยกยอปอปั้น ยอให้เหลิง

 

ถ้าจะคิดและทำให้เหนือฝรั่ง ก็ต้องทำงานชิลๆ สบายๆ ไร้อารมณ์ ไร้ความรู้สึก
แต่ทำงานแบบมีสติ มีเป้าหมาย มีขั้น มีตอน

ความสำเร็จแบบพระพุทธเจ้า คือยกระดับ “จิต มโน วิญญาณ”
ให้มี “โลกุตตรปัญญา” ฟัง คิด และภาวนาแล้วเข้าใจสัจจะแห่งชีวิต
เมื่อเห็นแจ้ง จิตก็จะวิมุติ หลุดพ้นจากทุกข์ เข้าถึงปฏิเวธ คือนิพพาน

คิดง่าย แต่ทำยาก 

 

———–

โฟกัสเป้าหมาย
โฟกัสงาน
โฟกัสเงิน

คนเราไม่ว่าจะอยู่ในวัดหรือนอกวัด ต้อง “โฟกัส”

ผมว่าการโฟกัส คล้ายการอธิษฐาน
ที่แปลตรงตัวว่า วางไว้ยิ่งใหญ่ วางไว้จำเพาะ
วางไว้ข้างหน้า

แต่ไหนแต่ไรมา ผมเป็นคนที่ “โฟกัส” ชัดเจน
และไม่แค่ “โฟกัส” แต่ใครถาม ก็บอกตรงๆ

เช่นอยากเป็น ประโยค ๙ นาคหลวง ก็บอกตรงๆ
อยากจบ ดร. ประเทศพัฒนาแล้ว อย่างสหรัฐอเมริกา
ก็ดิ้นรน ต่อสู้ ขวนขวาย พากเพียร พยายาม
อยากเป็น “ศาสตราจารย์” ก็ทำผลงาน จนได้เป็นตามใจอธิษฐาน

ยึดหลัก อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ไม่ขอใคร ไม่รบกวนใคร
แต่ก็มีคนจำนวนอย่างน้อยหนึ่งราย คอยช่วย คอยสนับสนุน
ในลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทนบ้าง ช่วยด้วยใจบ้าง
ช่วยด้วยบุญสัมพันธ์บ้าง

ของดี ของฟรี ของถูก ในโลกนี้ ไม่มี
แต่ของดี ของสูงค่า ของเลอค่า
อาจได้มา ด้วยการโฟกัส คือการอธิษฐาน

ในรอบ ๓๐ ปี ผมโฟกัส ผมอธิษฐาน เป็นขั้นเป็นตอน
ดังนั้น ผมคิดและทำอะไร ผมจึงทำได้สำเร็จเสมอ

==============
ขั้นตอน “โฟกัส” อธิษฐานเพื่อความสำเร็จ
โดยใช้ “มโน” คือ “ใจ” สั่ง

ให้จำไว้อย่าง คนเรา ไม่ได้อะไร แม้จะทำบุญมากแค่ไหน
ถ้ามัวแต่ “ทำ” แล้วไม่ “โฟกัส”
ลองพิจารณาความดู

ผมค้นคว้าบาลีมามาก ทุกรายที่ถูกยกเป็นกรณีศึกษาเรื่อง “บารมี”
ล้วนประสบความสำเร็จข้ามภพชาติ ด้วยการตั้งความปรารถนา
อธิษฐาน ที่ตรงตัวคือ “โฟกัส”

คำอธิษฐาน ที่ผมคิด ผมเชื่อ ผมโฟกัส
และบอกตรง ยาก ไม่น่าเชื่อ เป็นไปไม่ได้
แต่ผมก็ทำได้ตามที่อธิษฐาน จนสำเร็จ
ลองนำไปใช้กันดู สำหรับคนรุ่นใหม่  ทุกวงการ

ขั้นแรก ระบุเป็น “ตัวเลข” เช่นผมโฟกัส ผมอยากมีเงินสดในมือ ๑ ล้านบาทไทย

ขั้นตอนที่ ๒ ระบุชัดๆ จะเอาเงินสด ๑ ล้านบาท มาทำอะไร

ขั้นตอนที่ ๓ กำหนดระยะเวลา วัน เดือน ปี ระยะสั้น ที่จะได้มาตามที่อธิษฐาน

ขั้นตอนที่ ๔ วางแผน จะทำงานอะไร ให้ได้เงินสด ๑ ล้านบาท
ไม่ใช่ อธิษฐาน ขอพร เชื่อว่าจะได้รับพร แล้วจะได้รับ
เอาเข้าจริง ไม่มีเทพยดาองค์ใด กล้าให้มากมายถึงขนาดนั้น
ถ้าง่ายแบบนั้น ก็คงมีคนสำเร็จสมหวังมากมาย ไม่ใช่ส่วนใหญ่ยังคงย่ำอยู่กับที่เช่นเคย

ขั้นตอนที่ ๕ เขียนฝันไว้ข้างฝา สั้น กระชับ รวบรัด ชัดๆ เงินสด ๑ ล้านแรกในชีวิตที่ต้องการ
ระบุเวลาสั้นๆ และระบุชัดๆ เอาเงินไปทำอะไร รวมถึงระบุวิธีสะสมทรัพย์ที่จำกัด

ขั้นตอนสุดท้าย ภาวนา ท่อง บริกรรม สวดคาถาเงินล้าน

 

๕ ขั้นตอน ใช้กับ “อะไร” ก็ได้ ที่อยากจะได้ เช่น อยากเป็น ดร. อยากสอบได้ประโยค ๙
อยากเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ อยากได้บ้าน อยากได้รถ อยากได้ตำแหน่ง สารพัด ที่อยาก
ทุกอย่าง ต้อง “โฟกัส”

=========================

ที่พึ่งทางใจ กำลังใจ แรงบันดาลใจ 
ครูบาอาจารย์ทางธรรม ทุกคนต้องมี

ผมเองนับถือหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
คาถาที่ผมสวดประจำ สวดจนบัดนี้คือ
“พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ
วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา
วิระทาสี  วิระทาสา วิระอิตถิโย
พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สะหวาโหม”
สวด สวด สวด ควบคู่กับ
“อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมาสัมพุทโธ
วิชชาจรณสัมปันโน สุคโต โลกวิทู
อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ
สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควาติ”

โต๊ะทำงาน ผมจะมีกระปุกออมสิน
จะหยอดวันละอย่างน้อย ๑ เหรียญ สหรํฐ

๑ ปี ได้ ๔๐๐ เหรียญ แลกเงินสด ๑ หมื่นบาท ทำทานที่เมืองไทย
ตามกำลัง ไม่จำกัด ไม่ระบุ แล้วแต่อยากทำทาน

ตลอด ๓๐ ปี ผมก็ยังทำประจำ 
เพียงแต่ในรอบ ๑๑ ปี 
ผมเปลี่ยนมาออมเงินสด 
เดือนละ ๕ พันบาท
รวบรวมมาถวายมหาสังฆทาน
ทำนุบำรุงพระสงฆ์สามเณร
เล่าเรียนบาลีสนามหลวง
ในนามวัดโมลีโลกยาราม และต่างวัด
ผมทำติดต่อ ต่อเนื่อง ประจำได้นานถึง
๑๒๓ ครั้ง ในรอบ ๑๑ ปี
มีส่วนสนับสนุน สร้างพระ เป็นพระมหา
สร้างสามเณร เป็นสามเณรประโยค ๙
เป็นนโยบายช่วยสร้างความมั่นคงพุทธศาสนา
แบบธรรมชาติ ไม่อิงงบหลวง ช่วยกัน
ตามคติ พวกเราต้องรักกัน 

———–

ที่มาเงินสด ๑ ล้านบาท

แม่ช้อย นางรำ คุณสันติ เศวตวิมล
ดูจะสนใจ ชะตาชีวิตผมเป็นพิเศษ

ลงทุนสัมภาษณ์ผม ทำสกู๊ปพิเศษ

คอลัมน์ชีวิตต้องสู้ หนังสือพิมพ์ชีวิตต้องสู้
ปิดตัวลงนานแล้ว ในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ

ผมประทับใจ ปุจฉา “ทำไมผมถึงอยากรวย?”
ผมวิสัชนาชัดๆ “ถ้าผมรวย ผมจะได้มีโอกาสช่วยคนรุ่นหลัง”

ผมจะบอกตนเองเสมอ ถ้ามีจังหวะดีๆ โอกาสทองผ่านเข้ามา
ผมควรมั่งคั่งร่ำรวย เพราะผมกล้าที่จะให้คนด้อยโอกาส คนรุ่นหลัง
คนที่ยากจน คนที่ขาดแคลน คนที่ยากไร้ คนที่ขัดสน คนที่เดือดร้อนจริงๆ

 

เสียดาย ปี ๒๕๕๔ น้ำท่วมบ้าน หนังสือหายไป ๒ หมี่นกว่าเล่ม
ผมเลยไม่เหลือหลักฐานบทสัมภาษณ์ สมัยหนุ่มแน่น

===============

เหตุผลที่ผมไม่อยากขอเงินคนใช้ 
ไม่คิดของานคนทำ

มีเหตุมีผลในตัวอยู่ ไม่ใช่ไม่มี

หลังติวอังกฤษเสร็จ จนมีความรู้ TOEFL พอที่จะสอบถึงระดับ 550
ปี ๒๕๓๗ ไตรมาสสุดท้าย พอบินไปนิวยอร์ก
ผมก็ออกหางานทำ และทำตามฝัน ไม่คิดพึ่งพาใคร

ถามว่าไม่คิดจะพึ่งจริงหรือไม่?
ตอบตรง ก็เคยคิดพึ่งแต่พอบากหน้าไปขอ
ที่ผมคิดถึงท่านแรก คือสมเด็จพระพุฒาจารย์
เพราะท่านเคยออกปากบอกผมในที่ประชุมกรรมการตรวจชำระพระไตรปิฎก
ให้ผมไปพบ จะสนับสนุนทุนการศึกษา

เอาเข้าจริง พอไปหา

สมเด็จวัดสระเกศ ท่านบอก ท่านจำไม่ได้จริงๆ ว่า
ท่านเคยรับปากจะให้ทุน ท่านไม่ช่วยสักบาท

ได้แค่พระกริ่งสมเด็จ ๑ องค์เป็นที่ระลึก
ในฐานะเคยช่วยท่าน ทำงานตรวจชำระต้นฉบับพระไตรปิฎก
ฉบับมหาเถรสมาคม ปี ๒๕๓๐

บากหน้าไปพบ พระมหาเถระที่ผมมั่นใจ ได้ทุนแน่นอน ไม่มากก็น้อย
สมเด็จวัดชนะสงคราม ท่านบอก ป.ธ. ๙ คือสูงสุดในอุดมคติท่าน

ออกจากวัด ก็คือเดินออกจากวงการ
ในสายตาท่าน ผมเป็นคนนอกวงการ
ไม่เกี่ยวข้องกับวัดวาอารามแล้ว
เป็นคนอื่น เป็นคนไกลไปแล้ว

ท่านพอทำได้คือฝากเป็นอนุศาสนาจารย์
หรือเป็นพนักงานธนาคารกรุงเทพ ให้เลือกเอา
เมี่อผมไม่เลือกสักอย่าง ก็จงลิขิตชีวิตเอาเอง

 

เศรษฐีที่เคยนับถือชอบพอกัน พอกลายเป็นนาย
อย่างมากก็เลี้ยงข้าวดีๆ สักมื้อ อย่าคาดหวังอะไรจากนั้น

ทุกคนคาดหวัง อยากห็นเป็นพระราชาคณะ
เมื่อไม่เป็นตามที่คาดหวัง ก็ทางใครทางมัน

 

เหลือที่พึ่งสุดท้าย พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ วัดไร่ขิง
บากหน้าไปขอ ท่านบอกเคยช่วยทุนเรียนจุฬาฯ แล้ว ๕ หมื่นบาท
อเมริกา ค่าเล่าเรียนแพงมาก ส่งเรียนต่อไม่ไหว

ผมนึกถึงคำว่า
“หวังสิ่งใด ก็ได้แต่สิ้นหวัง
สิ้นแรงพลัง ชีวิตสูญสลาย”

ที่ผมชัดเจนคือ ไม่ตำหนิติติงท่านใดๆ
การที่ท่านจะให้ หรือท่านจะไม่ให้
เป็นความพึงพอใจของท่าน

เสียดายในปี ๒๕๓๗ ผม “โชคร้าย”
ก็ต้องคิดอ่าน  ใช้สติปัญญา ความรู้ ความสามารถ หาทางออก

————-

ทำให้ดีที่สุด แม้ชีวิตจะระทม

 

คติยามนั้น

ก็ไม่เป็นไรเมื่อเกิดมาอย่างนี้
เมื่อมีเท่าที่มีก็ทำมันให้ดีแลกมันด้วยเหงื่อ
สมองคิดแต่จะทำงานอะไร ทำสักกี่งาน
นิวยอร์กดีกว่าบางกอก ตรงที่ทำงานแล้ว
รายได้รับและนับกันเป็นชั่วโมง
ถ้าผมขยันทำมาก ก็ได้เงินมาก

เมื่อคิดจนตกผลึกว่าจะพึ่งพาลำแข้งตนเอง
ผมก็ชิลๆ สบายๆ ประสาคนคิดดี พื้นฐานจิตใจดี
คือแต่ไหนแต่ไร ผมไม่เคยรับเอาคลื่น พลังงาน
ความยากจน ความลำบาก ความเดือดร้อนเข้าตัว
คิดถึงแต่ โชคดี เฮงๆ รวยๆ ดีงาม แคล้วคลาด ชนะ ชนะ ชนะ
คิดแต่คลื่นพลังงาน ด้านบวก ตลอดเวลา

สมัยนั้น ผมเลยทำได้ตามฝัน
มหาวิทยาลัยที่นิวยอร์ก รับผมเรียนต่อ
ถือว่าโชคดี ได้ตามขั้นตอนที่โฟกัส ตั้งเป้าหมายไว้

 

จากนั้น ต้องต่อสู้ เอาชนะโชคชะตาให้ได้
อย่าซมซาน ไปขอเงินคนใช้ ไปของานคนทำ
ทำอะไรได้ ให้ทำ

 

คติคำสอนแปะไว้ข้างฝายามยากคือ

“ยังไม่จน อยู่อย่างคนจน จะไม่มีวันจน
ยังไม่รวย อยู่อย่างคนรวย จะไม่มีวันรวย”

ลูกผู้ชาย เมื่อมีฝันอันยิ่งใหญ่ ฝันยังอยู่ห่างไกล
เมื่อยังอยากสำเร็จ ตามที่ใจฝัน ไม่มีใครช่วยเหลือจริงจัง

ก็ต้องลงมือคิดสิ่งใหม่ๆ ลงมือทำสิ่งใหม่ๆ
ด้วยหลักคิด หลักทำสั้น ๆ เพียงแค่ ๒ ข้อ
ข้อแรก มีเป้าหมายชัดเจน เช่น อยากมีเงิน ๑ ล้านบาท
ข้อ ๒ มีฝันที่ยังหวังแม้ห่างไกล และอาจหมดหวัง อับปางลงกลางครัน

 

ผมยึดคติ พระโพธิสัตว์ ท่องและทำยามยาก
วายเมเถว ปุริโส ยาว อตฺถสฺส นิปฺปทา
เป็นคน ควรพยายาม จนกว่า จะประสบ ความสำเร็จ

——————-
เป้าหมายชัด
ฝันไกล
พยายามไปให้ถึง

ตลอดปี ๒๕๓๘ จนถึงปัจจุบัน
ผมทำสำเร็จตามฝันได้หลายเรื่อง
เหตุผล ผมฝันในสิ่งที่พอเป็นไปได้

ยกตัวอย่างเงินสดล้านบาทก้อนแรก
อีกผลงานสำเร็จปริญญาโท MBA in Finance & Insurance

Maurice R. Greenberg
School of Risk Management,
Insurance and Actuarial Science
St John’s University
AACSB Accredited

==============

ผมโฟกัส เรื่อง “การจัดการเงินสด”
เพราะสำคัญต่อ “ฝัน” ที่ “คิด” และ “หวัง”
เงินคืองาน งานคือเงิน บันดาลสุข
เป็นเรื่องจริง ที่วัยทำงุาน วัยรุ่น ต้องตระหนัก
ขาดเงิน ฝันก็ล่มสลาย

อยากมีคุณภาพชีวิตที่เปี่ยมสุข
คิดจะทำบุญก็ได้ทำบุญ
คิดจะทำทาน ก็ได้ทำทาน
คิดจะรักษาศีล ก็ได้รักษา
ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน
คิดจะภาวนา ก็นั่งสมาธิได้ชิลๆ สบายใจ
ไม่ต้องกังวลเจ้าหนี้ จะส่งหมายศาล หมายเรียก
หมายจับ ครุฑบิน สารพัด

ประสบการณ์นอกวัด ๓๐ ปี ให้แง่คิดชีวิตหลายเรื่อง
ผมเล่าความจริงว่า ประสบการณ์ตรงผม
เงินสด ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย
อย่าตอแหล อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกคนอี่น
ต้องกล้าเล่าตรงๆ กับทุกวงการว่า
การมีเงินสดใช้ จนเหลือกินเหลือใช้เหลือเฟือ
ย่อมดีกว่าอยู่อย่างหน้าชื่นอกตรม
เก๋งไม่มีขับ ปิ๊กอัพไม่มีขี่
ไม่มีเงิน มีแต่หนี้สะสม ก็มีแต่ทุกข์

ในคัมภีร์ธรรมบท ระบุชัดเจนว่า
“ชิฆจฺฉา ปรมา ทุกฺขา”
แปลว่า
“ความหิว เป็นทุกข์ ในโลก”
ใครที่บอกเงิน ไม่สำคัญ
ให้ลองไปไหน โดยไม่มีเงินติดตัวดู
จะรู้ว่ายากลำบาก แค่ไหน ในวันที่ไม่มีเงินในกระเป๋า

===============

วิธีชำระหนี้ ก็คือทำงานหนัก ทำงานหลากหลาย ทำงานมากขึ้น

ไม่มีอะไรซับซ้อน สำคัญ มี “สัจจะ” และมี “ธัมมะ” ในใจ
ผมจะย้ำชัดเสมอว่า “เงินหายาก” ต้องใช้สอยตามที่จำเป็น

ที่คนส่วนมาก “ล้มเหลว” เหตุผลหลัก
ไม่มีสัจจะ ไม่มีวินัย ใจแตก คิดไปเรื่อย
คิดเพ้อเจ้อ คิดแล้ว ทำแค่ครึ่งๆ กลางๆ
คบคนไม่มีคุณภาพ

การคบคนอย่างน้อย ๑ คนที่มีสมรรถนะ มีศักยภาพ มีคุณภาพ
มีวินัย ให้โอกาสเรา เปิดช่องทาง ให้เราลืมตาอ้าปากได้
เป็นหลักการสำคัญ ที่ควรขบคิด และนำมาใช้
หมดยุคดีคนเดียว เก่งคนเดียว
ความสำเร็จ ต้องทำงานยกทีม 

 

ผมจะยกตัวอย่าง การทำฝันให้กลายเป็นจริง สัก ๑ เรื่องสำคัญ
การพยายามมีเงินสด ๑ ล้านบาท ในครอบครองขณะอายุยังน้อย
ไม่ถึง ๓๐ ปี ผมว่าสำคัญและจำเป็นต่อทฤษฎี “เงินต่อเงิน”

คือพอมีเงินสดในมือ โครงการต่างๆ จะเกิดมีตามมาเอง

คนเรา ขาดเงิน ขาดรัก ขาดคนคบหาจริงจัง

ไม่มีใครอยากคบ คนจน ให้จำไว้ เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง

มีเงิน คนก็นับหน้าถือตา ดังบทกวีว่า

“เมื่อมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง
เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มี หมดมิตร มุ่งมองมา
เมื่อมอดม้วย แม้นหมูหมา ไม่มามอง”

 

ปกติ ยุคผม ชาววัดวาอารามด้วยกัน
ชอบด้อยค่าชาววัด เชื่อว่า ทุกวันนี้ ก็ยังเป็น

ผมสังเกต ชาววัดจะไม่ดัอยค่า คนที่ลาสิกขาพ้นวัดเมื่อ

  • มีการศึกษาสูงๆ

  • มีตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ

  • มีรถเก๋งขับ

  • มึบ้านอยู่

  • มีงานเป็นหลักแหล่ง สนใจเฉพาะอาชีพข้าราชการ

    (อาจเป็นความคิดกลัวความไม่มั่นคง แต่ไม่ได้คลุกคลีข้าราชการจริงๆ
    ที่ควรทราบ ข้าราชการชั้นผู้น้อยและกลางส่วนมาก ต่างมีความรู้สึก “เท่แต่ไม่มีจะแดก” แต่เล่าเผยความในใจไม่ได้ ผมมีคนคุ้นเคยรับราชการจำนวนมาก ตำแหน่งต่ำๆ ถึงตำแหน่งสูงๆ เลยหยั่งรู้ความในใจดี การจ่ายค่าตอบแทนไม่สอดคล้องสภาวะเศรษฐกิจ เลยเกิดปัญหาทุจริตและศาลอาญาทุจริตสำหรับข้าราชการโดยเฉพาะ )

กรณีผม ลาสิกขา พ้นวัด ไปอยู่นิวยอร์กเลย จึงเป็นอะไรที่ “แปลก” “ใหม่”
กอปรกับผมมีผลงานเชิงประจักษ์ เลยไม่เคยถูก “ด้อยค่า” ออกพ้นวัดมา
ทำงานวงการใดๆ ก็ยกย่องนับถือ เพราะผมเอง มี “การศึกษาดี” และ “ผลงานเชิงประจักษ์”
ที่ทำสะสมต่อเนื่องยาวนาน จึงเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า ถ้าเราไม่สามารถเป็น

“นายพล เจ้าสัว ส.ส. ส.ว. “ ก็ต้องเลือกทางที่เราถนัด และพอทำได้ นั่นคือ
เลือกเรียนสูงสุด จนจบ ดร.

 

พอเป็น ดร. จากสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่ห้องแถว หรือประเทศที่คนไทยรัองยี้
เมื่อถูกตรวจสอบ และจบจริง สังคมไทย และนานาชาติ ก็ยอมรับและอยากเอาตัวไปทำงาน

 

ดังนั้น อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ที่เรียกกันว่า “ทำอะไรไม่สุด”

คนทำอะไรไม่สุด เจอปัญหาชีวิตเยอะแยะมากมาย
ผมมีอาจารย์สอนผม เป็นคนถ้าไม่คุยด้วย จะไม่รู้ ท่านเป็นคนอัธยาศัยดี มีเมตตา

แต่ความที่ท่านรักการเรียน ได้ทุน ก.พ. ไปเรียนโทควบเอกที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
เรียนรายวิชา ๑๖ ปริญญาโท-เอก แต่ไม่ยอมเขียนดุษฎีนิพนธ์ สุดท้าย กลับไทย
มีแค่วุฒิ ธ.บ. ธรรมศาสตรบัณฑิต รับราชการ จนเกษียณ ผ่อนบ้านไม่หมด
สุดท้ายต้องกลืนเลือด ยอมเป็นราชบัณฑิต หลังเกษียณ เพื่อรับเงินสดเพิ่ม ๓ หมื่นบาท
เอามาผ่อนบ้าน ได้ตำแหน่งทรงเกียรติ  ไม่นาน ก็วายชนม์

ท่านเคยบอกผมเมื่อปี ๒๕๓๕ ขณะสอนว่า เลือกได้ อย่าทำอะไรไม่สุด แบบท่าน
ชีวิตจะลำบากตอนแก่   ท่านเป็นทั้ง ศาสตราจารย์พิเศษ และราชบัณฑิต
แต่ทว่า “เท่แต่ไม่มีจะแดก”

ความข้อนี้ สอดคล้องกับอาจารย์ผมอีกคน ศาสตราจารย์พิเศษ
และราชบัณฑิต เกษียณ ก็ยังผ่อนบ้านไม่หมด ละร่างก่อนกาลอันควร ท่านก็พูดตรงกัน

ยกเว้น บ้านมีฐานะร่ำรวย จะคิดรับราชการ ก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสม
แต่เด็กยุคใหม่ รักอิสระ เสรี ส่วนมาก เลือกค้าขายออนไลน์กัน
หาเงินได้มากกว่าข้าราชการรุ่นเก่า สิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า
ที่หลงผิด ติดคุก ก็มากมาย เพราะเจอคนไม่ดี ตามที่ผมเล่าในตอนต้น
ต้องสกรีนและคัดกรอง คนที่จะคุย คนที่จะคบ

——————–
ทุกความสำเร็จ

ทุกความร่ำรวย
เริ่มต้นที่ “มโน”

ผมจำคาถาบาลีไว้ และสอนตนเสมอ
ชั่วชีวิตผม แค่ 0.0001% พระไตรปิฎกที่เรียน
บอกตรง ธัมมปทัฏฐกถา เป็นคัมภีร์เปลี่ยนชีวิตผมตลอดกาล

คาถาว่า

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา
ทุกสรรพสิ่ง ใจนำ

ตอนนี้
ผมสาธก กรณีศึกษา วิธีได้เงินล้านบาทแรก ในปี ๒๕๓๗-๒๕๓๘
งานที่ทำ ที่นิวยอร์ก ทุก ๑ เหรียญสหรัฐ ทบทวีคูณ พหุคุณถึง ๒๕ เท่า

ผมเลือกงานช่วยวิจัยอาจารย์ ได้อาทิตย์ละ ๒๐๐ เหรียญสหรัฐ ราว ๕ พันบาท
ภายใน ๑ ปี ผมได้เงิน ๕๐ สัปดาห์ เป็นเงินไทย ๑ เหรียญสหรัฐ

 

งานแรก
ผมได้ปีละ ๒๕๐,๐๐๐ บาท

เลือกงานถ่ายเอกสารที่ถนนบรอดเวย์ โน้ตดนตรี ได้ชั่วโมงละ ๕ เหรียญสหรัฐ
วันละ ๕๐ เหรียญ ทำอาทิตย์ละ ๒ วัน ได้อาทิตย์ละ ๑๐๐ เหรียญ

 

งานที่ ๒
ผมได้ปีละ ๑๒๕,๐๐๐ บาท

เลือกงานคีย์บิล ออกใบเสร็จ ร้านอาหาร ได้วันละ ๑๐๐ เหรียญ
ทำอาทิตย์ละ ๒ วัน ได้อาทิตย์ละ ๑๐๐ เหรียญ

 

งานที่ ๓
ผมได้ปีละ ๑๒๕,๐๐๐ บาท

งานเมืองไทย ผมรับส่งแฟกซ์
เลือกงานเขียนบทความส่งมาตีพิมพ์เมืองไทย
ได้ค่าเขียน ครั้งละ ๒,๐๐๐ บาท
อาทิตย์ละครั้ง ปีหนึ่งมี ๕๐ สัปดาห์

 

งานที่ ๔
ผมได้เงิน ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท

สมัยหนุ่ม ๆ อายุแค่ ๒๖-๒๗ ปี

รวมรายรับ ทำงานคนเดียว ปีละ ๖ แสนบาท
เดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท

ปี ๒๕๓๗
ถ้าผมใช้วุฒิปริญญาโท
สอนมหาวิทยาลัยชั้นนำ คือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งครูบาอาจารย์ผม อยากให้ผมสอนมาก
และมีทุนให้เรียนต่อมหาวิทยาลัยระดับโลก
แต่ผมปฏิเสธ “โอกาสทอง”
และไม่เคยเสียดาย ไม่นึกเสียใจ

เพราะถ้าเลือก
ผมก็คงได้แค่
“ศาสตราจารย์ + ราชบัณฑิต”
แต่โลกิยทรัพย์อื่นๆ
เช่น คฤหาสน์ รถเบนซ์
เดินทางชั้นธุรกิจ
พักโรงแรมห้าดาว

ใช้ชีวิตหรูหรา โอ่อ่า ภาคภูมิใจ
ชื่อเสียงที่คนเล่าขาน

ก็คงยาก

 

ในปี ๒๕๓๗ ผมจึงไม่รับราชการ

เงินเดือนราว ๔,๗๐๐ บาท

ปีละ ๕๖,๔๐๐ บาท
และ ดิสรัปชัน เปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตและงาน
ไปทางบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ ศาสตร์ทันสมัย
ซึ่งลงทุนเรียนแล้ว แม้จะแพงระยับ แต่ก็คุ้มค่า คุ้มการลงทุน
เพราะผมมีทางเลือก มีโอกาส มีช่องทางดีกว่า

ผมเล่าเพื่อบอกว่า รุ่นหลัง พยายามแสวงหาโอกาส ทางเลือก
โดยการ upgrade และ update ตนเอง
ให้เป็นคนใหม่ ในร่างเก่า
ต้องกล้าลงทุนซื้อความรู้
เลือกคบคนอย่างน้อย ๑คนที่ใจดี ใจบุญ ใจกว้าง
คนที่ยอม เปิดช่องทาง เปิดจังหวะ เปิดโอกาส
สนับสนุนเรา ส่งเสริมเรา ด้วยลงมือช่วยจริง
มิใช่แค่ใช้ลมปาก หลอกเราไปวันๆ

 

——————–

อโจรหรโณ นิธิ
ขุมทรัพย์ที่โจรลักไปไม่ได้  จำไว้ คือ บุญ

 

ชีวิตที่นิวยอร์ก
ผมไม่แค่หยุดค้นคว้าคัมภีร์ธรรมบท มงคล
สามนต์ วิสุทธิมรรค และอภิธัมมัตถวิภาวินี
แต่ยามว่าง ผมเปิดอ่าน ตั้งแต่พระไตรบาลี
จนถึงคัมภีร์สัททาวิเสส ในชั้นอรรถกถา
ให้ความรู้ผมว่า
ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
หลักการ “ออมทรัพย์” สมัยนี้เรียก “สะสมทรัพย์”
ที่มนุษยควรมี ควรได้ ควรเป็น ควรทำ น่าสนใจ

 

ผมจะนำมาเล่าโดยย่อให้อ่านง่ายๆ

นิธิ ที่แปลว่าขุมทรัพย์ มี ๔ อย่าง ประกอบด้วย
ถาวรนิธิ ชังคมนิธิ อังคสมนิธิ อนุคามิกนิธิ
๑. ถาวรนิธิ เช่น เงิน ทอง ที่ดิน บ้าน ไร่ นา
๒. ชังคมนิธิ ได้แก่ บริวาร หญิงชาย สัตว์เลี้ยง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
๓. อังคสมนิธิ คือ ปริญญาบัตร วุฒิบัตร วิชาชีพ ความรู้ที่ติดตัว เลี้ยงชีพได้จนวันตาย
๔. อนุคามิกนิธิ เป็นขุมทรัพย์คือบุญ บุญที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา ที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม สำเร็จด้วยการแสดงธรรม

____________________________

๑- ขุ. สุ. ๒๕/๓๑๑/๓๖๑

มาคิดทบทวน ผมสะสม ๓ นิธิ คือ ถาวรนิธิ อังคสมนิธิ และอนุคามิกนิธิ
ชังคมนิธิ ไม่มี เพราะลำพังตัวเอง ยังเอาตัวแทบไม่รอด

ข้อสังเกต

ผมทำงานเมืองนอก รายได้มากกว่า
เพื่อนที่สอนเมืองไทย เกือบสิบเท่า

 

รายจ่ายหลักมีแค่

หักค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ เดือนละ ๔๐๐ เหรียญ
ค่ากิน เดือนละ ๓๐๐ เหรียญ รวม ๗๐๐ เหรียญ
รายจ่าย ๒๑๐,๐๐๐ บาท

 

ทำงานที่นิวยอร์กเพลินๆ
แค่ปีกว่า ๆ อายุยังไม่ถึงสามสิบ

ก็พอมีเงินเหลือ จ่ายค่าเทอม

ผมมีโอกาสได้เข้าเรียน ระดับปริญญาโท ทางบริหารธุรกิจ
ในปี ๒๕๓๘ เรียน ๑ ปี ก็จบ  รับปริญญาโทอีกใบ
สาขาทันสมัย การเงินการประกันภัย
ที่นิวยอร์ก ใบที่ ๒ ในชีวิต
ต่อจากปริญญาโทใบแรก สาขาบาลี-สันสฤต ที่จุฬาฯ

—————

ขุดตื้นน้ำบ่มี ขุดถึงที่ น้ำจึงไหล

ที่เล่าเรื่องนี้ ยาวๆ เพราะวันนี้ เป็นวันที่ผมเปลี่ยนแปลงตนเอง

เริ่มจากศูนย์

 

คาถาธรรมบท สอนว่า
อตฺตทตฺถํ ปรตฺเถน พหุนาปิ น หาปเย
อตฺตทตฺถมภิญฺญาย สทตฺถปฺปสุโต สิยา
แปลว่า
บุคคล อย่าทำให้ประโยชน์ส่วนตนเสียหาย
เพราะผลประโยชน์ผู้อื่น แม้มาก
บุคคล ทราบชัดประโยชน์ตนแล้ว
ต้องดิ้นรนขวนขวายในประโยชน์ตน

 

———————————-

๑๑ เมษายน ๒๕๖๗

ผ่านเรื่องราว ผ่านคน ผ่านงาน
วันนี้ เลยอยากเล่า ย้อนอดีต

 

ข้อค้นพบ
ผมเป็นคน “โฟกัส” ชัดเจน แต่ไหนแต่ไรมา
ที่ได้ ที่ดี ที่มี ที่เป็น
ผมอนุมาน อนุโลม คิดเป็นเหตุ เป็นผลว่า
เพราะชะตาชีวิตผม ถูกใจผม ขับเคลื่อนด้วย

อิทธิปาฏิหาริย์ ฤทธิ์ที่ผมนับถือเลื่อมใส พุทธานุภาพ พุทธคุณ พุทธานุสติ เป็นต้น
อาเทสนาปาฏิหาริย์ ดวงชะตา โชคชะตา ที่จำต้องอาศัยโหราพยากรณ์ทำนายชีวิตในอนาคต
การรู้พื้นดวงตนเองล่วงหน้า การตรวจเช็คดวงเป็นระยะๆ เป็นสิ่งที่ควรทำ
และต้องทำเพื่อใช้ชีวิตไม่ประมาท ไม่ต้องเช็คดวง ตรวจดวงเลย เมื่อไม่อยากได้ไม่อยากดีไม่อยากมี
ไม่อยากเป็นอะไร ไม่เหลือความหวังอะไรเลย ก็ไม่ต้องสนใจดวงชะตา โชคชะตา
อนุสาสนีปาฏิหาริย์ สุดยอดแห่งปาฏิหาริย์ คำสอนเปลี่ยนชีวิต
บาลี คือหลักคำสอนพุทธดั้งเดิม ที่ควรเรียน มี ๓ ส่วนสำคัญ
วินัย สูตร อภิธรรม คือสัจธรรมชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก ทุกข์ และการพ้นทุกข์

 

-อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่คิดว่าตัวเก่ง ยังต้องพึ่งพา “ฤทธิ์”
แม้ไม่มีใครรู้ ใครเห็น แต่ผม “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ”
คือรู้เฉพาะตนเองว่า พระแก้วมรกต หลวงพ่อโสธร
พระธาตุดอยสุเทพ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
หลวงพ่อทวด สมเด็จโต สมเด็จขุน หลวงพ่อสด
บุรพมหากษัตริย์ ที่ลือนาม หลายพระองค์ ช่วยผม ตลอดเวลา
ผมไม่เคยเดียวดาย โดยเฉพาะ “พระพุทธเจ้า” แสดงฤทธิ์ให้ผมประจักษ์
ตลอดเวลาว่า ไม่เคยใช้ผมทำงานให้พระองค์ท่านฟรี รวมถึงเทพยดา
อย่างพระคเณศ พระนารายณ์ พระพรหม พระอินทร์ รวมถึงเทวดาชั้นต่างๆ

เทวดา ฝ่ายมาร ก็ทำให้ผมประสบภาวะ ผจญมาร เป็นอุปสรรคต่อชีวิตและงานเหมือนกัน

ไม่จำเป็น ผมถึงไม่เล่า รองานเสร็จ จึงค่อยเล่า เพราะมารรอบตัวมีเยอะ

 

ในพระไตรบาลี พบว่ามาร ที่ตัดรอนมิให้เราทำอะไรได้สำเร็จ
ทำไปๆ แทนที่จะเฮงๆ รวยๆ ทว่ากลับพบเจอสภาวะ เจ๊ง-เจ็บ-จน มี ๕ มาร
๑.กิเลสมาร  ๒.ขันธมาร  ๓.อภิสังขารมาร ๔.เทวดามาร (ฝ่ายมิจฉาทิฏฐิ) ๕. มัจจุมาร

 

ประโยชน์ตรง นักสร้างบารมีทุกราย จะได้ระมัดระวัง ๕ มารผจญ

-อาเทสนาปาฏิหาริย์  ความสำเร็จแท้จริง ต้องหมั่นเช็คดวง ตรวจสอบดวงชะตา
ว่าช่วงใด ขาขึ้น ช่วงใดขาลง แต่รายที่ไม่มีรายละเอียด ก็ฝากธนาคารบุญ
ด้วยนิธิ ที่แปลว่าขุมทรัพย์ มี ๔ อย่าง ประกอบด้วย
ถาวรนิธิ ชังคมนิธิ อังคสมนิธิ อนุคามิกนิธิ
๑. ถาวรนิธิ เช่น เงิน ทอง ที่ดิน บ้าน ไร่ นา
๒. ชังคมนิธิ ได้แก่ บริวาร หญิงชาย สัตว์เลี้ยง เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
๓. อังคสมนิธิ คือ ปริญญาบัตร วุฒิบัตร วิชาชีพ ความรู้ที่ติดตัว เลี้ยงชีพได้จนวันตาย
๔. อนุคามิกนิธิ เป็นขุมทรัพย์คือบุญ บุญที่สำเร็จด้วยทาน ที่สำเร็จด้วยศีล ที่สำเร็จด้วยภาวนา ที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม สำเร็จด้วยการแสดงธรรม

-อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ผมใช้คำคมบ่มชีวิต คำสอนจากพระไตร และภูมิปัญญาตะวันออก รวมถึงภูมิปัญญาสากล ด้านพัฒนาตนเอง จิตวิทยา และการจัดการ สมดุล ปรับใช้ให้เหมาะแก่บริบทงาน ณ ห้วงเวลานั้นๆ

 

———————————

ชีวิตชับเคลื่อนด้วยไตรลักษณ์

ให้ยอมรับความจริงว่า ทุกชีวิต
ต่อให้โฟกัส อธิษฐาน วางแผน
เป้าหมายชัดเจนแค่ไหน
สุดท้าย ต้องพบพานสัจธรรม
-อนิจจัง ผันแปร ไม่แน่นอน พลัดพราก สูญเสีย
-ทุกขัง ที่เราคิดว่าคนที่รวย ตำแหน่งสูง ฐานันดรชั้นยอด
จะไม่มีทุกข์ เอาเข้าจริง ทุกวงการ มีทุกข์ในใจทั้งนั้น
อยู่ในวัด เป็นพระ เทศน์สอนคน หลักการดี
ชีวิตจริง ในกุฏิ ก็ทุกข์
รัฐมนตรี ทั้งหลาย เอาเข้าจริง ก็ทนทุกข์ ทนทนมาน แสนสาหัส
-อนัตตา ทำอะไรใดๆ อย่าเล็งผลเลิศ อย่าคาดหวังคน และผลงาน
แค่ไหน แค่นั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก
เลือกคนที่ใช่ คือคนที่พูดจริง ทำจริง

คนที่อาสัตย์ อาธรรม์ ตระบัดสัตย์ อย่าคบหา

คนที่นิสัยเห็นแก่ตัว เอาเปรียบ ก็อย่าไปเสียเวลาคบ
เลือกคบคนที่ธาตุเดียวกัน เข้ากับเราได้

 

—————-

หลักโลกธรรม ๘ ประการ
ผมชอบคำสอนพระพุทธเจ้า
ที่สอนว่า

  • ได้ลาภ วันหนึ่งก็เสื่อมจากลาภ
  • ได้ยศ วันหนึ่งก็เสื่อมยศ
  • แต่ละวัน กิเลส ๑๐๘ สรุปย่อ ๓ คือ โลภ/ราคะ โทสะ โมหะ
    ขับเคลื่อนกระทบจิตตลอดเวลา พยายามฝึกควบคุมจิตด้วยวินัย
  • คนที่มีวินัย ฝึกกายวาจาใจ จะประเสริฐที่สุด ในหมู่มนุษย์
  • วันวานคนนินทา วันนี้คนสรรเสริญ วันพรุ่งนี้ คนกลับมาด่าเราอีก

 

 

————————–

บทสรุป

ตลอด ๓๐ ปี ที่จริง มีอะไรจะเล่าอีกมากกว่านี้
แต่ผมเลือกเล่า เชิง ข้ออรรถ ข้อธรรม

เป็น ธัมมะ แบบอกาลิโก ทันสมัย ไม่ล้าหลัง

มุ่งให้รุ่นหลัง ได้ทฤษฎีจริง ที่นำไปปฏิบัติไปใช้ได้จริง

และจะนำไปสู่ปฏิเวธ คือระงับดับทุกข์

——–

สะท้อนความจริงว่า

ไม่มีอะไร ได้มาง่ายดาย
ความสำเร็จ ไม่มีคำว่าบังเอิญ

ต้องผสมผสาน วิธีคิด วิธีปฏิบัติ ที่หลากหลาย

ที่คล้ายกัน คือ ต้องสมดุล

ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ

ทฤษฎี-ปฏิบัติ-ประสบการณ์

ทุกคน บุญทำ กรรมแต่ง ไม่เท่ากัน
บางคน มืดมา มืดไป
บางคน มืดมา สว่างไป
บางคน สว่างมา มืดไป
บางคน สว่างมา สว่างไป

บางคน ปฏิบัติสบายๆ บรรลุธรรมก็สะดวกสบาย
บางคน ปฏิบัติสบายๆ แต่บรรลุธรรมช้า
บางคน ปฏิบัติยากลำบาก บรรลุธรรมก็ยาก
บางคน ปฏิบัติยากลำบาก บรรลุธรรมง่ายดาย 

ความเห็นผม เราเลือกได้ที่จะ “สว่าง” หรือ “สบาย”
ใดๆ อยู่ที่ตัวเรา
– ตาถึง
– มือถึง
– ใจถึง
– ทุนถึง
ที่สำคัญที่สุด
-บุญถึง
คนบุญถึง ทำอะไรก็ง่าย สำเร็จอะไรก็สะดวกสบาย
เลือกได้ โฟกัส อธิษฐาน ปรารถนา ขอให้ทำอะไรก็ได้มาโดยง่าย
อย่าล่าช้า อย่าชักช้า อย่าเสียเวลา อย่าเสียโอกาสเลย

เวลาในโลกมีจำกัด อะไรทำได้ รีบลงมือทำทันที ทำทันใด ทำทันใจ


 

 

 

 

 

 

Comments

comments