๒๖๐. ข้ออรรถ ข้อธรรม “วันเวลาที่มืดมิด”

๑๕.๔.๒๕๖๗
ข้ออรรถ ข้อธรรม
“วันเวลาที่มืดมิด”

อุทิส ศิริวรรณ
เขียน
—————
ผม “สังเกต”
ชีวิตทุกคนรอบตัว
เวลาชะตาเป็น “ขาขึ้น”
จะลืมนึกถึงหลัก โลกธรรม ๘
คือชีวิตตอน “ขาลง”

ขาขึ้นอะไรก็ดูดีไปหมด
แต่วันที่ชะตาตกต่ำ
ที่เคยได้ ก็เสีย
ที่คนเคยชม ก็ก่นด่า
มีแต่กระแสจับผิด ยัดเยียด ปรักปรำ ใส่ร้าย ใส่ความ สารพัด
มีตำแหน่ง ก็ถูกย้าย ถูกไล่ออก ถูกปลดออก
ด้วยข้อหาสารพัด
เคยกินอิ่มนอนอุ่น มีแต่คนห้อมล้อม
คนที่เคยคบ ก็หายวับ สลายไปกับสายลม
โทรถึงใครก็ไม่รับสาย ที่รับก็ถามคำ ตอบคำ อึดอัด

ก็เป็นไปตามสัจธรรมชีวิต ที่ว่า
เมื่อมั่งมี มากมาย มิตรหมายมอง
เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
เมื่อไม่มี หมดมิตร มุ่งมองมา
เมื่อมอดม้วย แม้หมูหมาไม่มามอง

ระหว่างไม่มี กับมัวหมอง

ผมว่า ตอนที่มัวหมอง อึมครึม ทรมานจิตใจ
ในวันที่ตกเป็นเหยื่อ กลายเป็นผู้ต้องหา
วันที่ถูกสังคมพิพากษาตัดสินล่วงหน้า
ทั้งที่เรามิได้เป็นเช่นนั้น แต่ไม่มีโอกาสแก้ตัวแก้ต่าง
ให้คนที่เข้าใจเราคลาดเคลื่อน รับรู้ รับทราบความจริง

สภาวะไม่รู้อนาคต ชะตาชีวิตเรา จะรุ่ง หรือร่วง
บั่นทอนสภาพจิตใจยิ่งกว่าตอนที่ ไม่มี
คือถ้าจนลง หรือตกต่ำสุดๆ ไปเลย
คนที่จะกระทืบซ้ำ ไม่มี หายาก
มีแต่สงสาร เห็นอกเห็นใจ
แต่ตอนที่ชีวิตเต็มไปด้วยหมอกควัน กระแสอึมครึม
มืดมน มืดมิด ไม่รู้จะออกหัวออกก้อย
น่าขบคิด เพราะหลายคนเครียด เลือก “ตาย”
หรือ “ซึมเศร้า” รอวันตาย “เครียด” “กลุ้ม”
เพราะทำใจไม่ได้

ปุจฉาคือ จะกิน จะอยู่ จะใช้ อย่างไร
ในวันที่มืดแปดด้าน
ในวันที่มืดมิด
ในวันที่ไม่มีใคร
ในวันที่รักแล้วพลัดพราก
ในวันที่รู้สึกเคว้งคว้าง
ในวันที่อ้างว้าง ว้าเหว่ เดียวดาย?

————————
ผมโชคดีและโชคร้ายในตัว
ชีวิตเหมือนเส้นโค้ง S ของโรเจอรส์
ผมมั่่นใจว่า แทบทุกคน คล้ายผม
10% แห่งการปรับตัว ตะเกียกตะกาย
ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความมืดมิด
เพื่อ 80% ที่มีแสงสว่างปลายอุโมงค์
เป็นอะไรที่ทำนาย พยากรณ์ คาดการณ์ ยากที่สุด

คือเคยเผชิญความเวิ้งว้าง ท่วมท้นใจ
ในวันที่เฉียด “ความล้มเหลว”
วิธีแรก “ลืม”
การ “ลืม” ง่ายสุดคือ “อาบน้ำ” ราดน้ำให้เยอะๆ
ฉีดน้ำให้แรงๆ แล้วนอน
พยายามข่มใจ ฝืนใจ ไม่คิดอะไร
นอนให้หลับ

นอนตาหลับแล้ว
เมื่อลืมตา จะลืม
แล้วกาลเวลาจะค่อยๆ สมานรอยร้าวลึกบาดแผลในใจ

วิธีที่ ๒
ฝึก “นับลม”
ทางพระเรียก “อานาปานัสสติ”
ดึง “จิต” ให้จดจ่อเฉพาะลมหายใจเข้าออก
ตรงจมูก
หายใจเข้า นับพุทธ
หายใจออก นับโธ
พุท โธ พุท โธ
นับไปเรื่อยๆ
ย้ำอย่าส่งใจไปไกล ไปนอกตัว
ไปเรื่องเดิมๆ ปัญหาเก่าๆ เดิมๆ ที่เราแก้ไขไม่ได้
พอเริ่มหายฟุ้งซ่าน
ค่อยๆ คิดถึง “ความมืดมิด” คือ “ความล้มเหลว”
“ความพลัดพราก” “ความสูญเสีย”
อะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เรารู้สึก “มืดแปดด้าน” “มืดมิด”
จะค่อยๆ พบ “แสงสว่าง” “โอกาส” “ช่องทาง” อัตโนมัติ

————
ล่าสุด ผมพบคำคมของอดีตประธานาธิบดีอินเดีย
ดร. อับดุล กาลาม ให้กำลังใจคนทั้งโลกสั้นๆ
ด้วยคำว่า “โอกาส” โดยเปรียบเทียบกับคำ ๓ คำ
Yesterday Today Tomorrow
ดร. อับดุล ในฐานะเป็นนักเทคโนโลยีคนดัง
ให้ข้อสังเกตว่า คำว่า Opportunity ที่แปลว่า “โอกาส”
คำย่อคือ O
คำว่า Yesterday แปลว่าวันวานที่ผ่านเลย
ไม่มีคำย่อ O ที่แปลว่าโอกาส
ความจริงข้อนี้ สะท้อนว่า เมื่อเราเผชิญความมืดมิด
อย่าย้อนกลับ อย่าฟุ้งซ่าน เพ้อ คร่ำครวญถึง อดีต
ให้อยู่กับปัจจุบัน

แต่ทว่า Today ที่แปลว่า วันนี้
โอกาส มีเพียงครั้งเดียว คือ o
ระหว่าง T & D
สมมติ T ย่อจาก Time
D ย่อจาก Do
Do on time
คนที่ไม่คิดเยอะ ไม่คิดมาก
คนที่ลงมือทำทันที ทำทันใด ทำทันใจ
จะพ้นจากห้วงเวลาอันมืดมิด
ได้เร็วกว่า ดีกว่า คนที่จมปลัก สลด หดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวังไปกับ
ความมืดมิด มืดมนอนธการ มืดแปดด้าน
เพราะคิดไม่ออก คิดไม่แตก จะทำอย่างไร

แต่ Tomorrow ที่แปลว่า วันพรุ่งนี้
พบ O อยู่มากถึง ๓ ครั้ง OOO
เมื่อพิเคราะห์ O ที่เรียงกัน
มุมมองแบบฮ่องกง จะเรียกเลข Infinity
แปลว่า ไม่มีสิ้นสุด
ดังนั้น เมื่อพอมีสติ ขบคิดอย่างใช้เหตุผล
จนตกผลึก จะพบว่า วันพรุ่งนี้
ยังมีความฝัน ยังมีความหวัง
ที่เราจะหลุดพ้นจากห้องมืดมิด อับแสง อับเฉา

——–
อีกวิธีคิด พระพุทธเจ้าสอนเอง
อชฺเชว กิจฺจมาตปฺปํ โก ชญฺญา มรณํ สุเว
เราต้องทำความเพียรเผากิเลส วันนี้เลย
เพราะพรุ่งนี้ ใครจะรู้ล่วงหน้าว่ามรณะ จะมาเยือน

—————–

วิธีสุดท้าย ที่ผมนำมาใช้ ให้ตัวเองพ้นจากความมืดมิดคือ
“ทัศนคติ” ห้วงเวลาที่มืดมิด พยายามอ่านหนังสือ อ่านข้อคิดข้อเขียน
ฟังบทสนทนา คำพูด แนวให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจ
ที่มีให้อ่านมาก ตามร้านหนังสือเฉพาะทาง หรือสื่อออนไลน์ทั่วไป
แล้วนำมาอ่าน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซ้ำไปซ้ำมา
ยกตัวอย่าง
นโปเลียน ฮิลล์ ยืนยันว่า
“สิ่งที่เราคิดและเชื่อ
เราทำให้สำเร็จได้
ด้วยการคิดบวก”

วิธีปฏิบัติอีกด้าน
พาตัวไปอยู่ท่ามกลางคนที่
พูดให้กำลังใจเรา
ปลอบใจเรา
สร้างกำลังใจเรา
สร้างแรงบันดาลใจเรา  
หลีกเลี่ยงวงการที่
คิดลบกับเรา
คิดร้ายกับเรา
หวาดระแวงเรา
หมั่นไส้เรา
ด้อยค่าเรา
อิจฉาริษยาเรา
พูดให้เราไขว้เขว
พูดไม่ยั้งคิด
ดับฝันเรา
ดับความหวังเรา
ดับจินตนาการเรา

ถ้าเลือกได้ เลือกออกจากวงการที่คุ้นเคย

ไปคบหาคนใหม่ๆ คนนอกวงการ คนที่ไม่คุ้นเคยเรา
แต่สนใจ และชอบอะไร ที่นำไปสู่ความสำเร็จและความรุ่งเรือง

ถ้าหาไม่เจอ ก็ “อ่านมากๆ – ฟังมากๆ – ทำมากๆ “
อย่าอยู่เงียบๆ อย่าอยู่นิ่งๆ อย่าอยู่เฉยๆ
หางานที่สนใจ เอามาทำ ไม่ให้ฟุ้งซ่าน
หยุดคิด ตั้งสติ ตั้งหลัก ทบทวน แก้ไข
อะไรที่นำเราไปพบกับสภาวะ “มืดแปดด้าน” “มืดมิด”

อีกวิธี ถ้าพอมีกำลัง
ก็เดินสายไปไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
ที่นับถือ ศรัทธา เลื่อมใส
พาตัวไปสวดมนต์ แผ่เมตตา อุทิศ เจ้ากรรมนายเวร
ตั้งสัจจะ อธิษฐาน ปรารถนา ในสิ่งที่ประสงค์แบบ “โฟกัส”
เจาะจง สิ่งที่เป็น “แสงสว่าง” ได้มาแล้ว ทำให้เรารู้สึกสดชื่น
มีกำลังใจ มีแรงบันดาลใจ มีความหวัง ที่จะลุกขึ้นสู้ต่อไป
ไม่ว่าจะเป็น
ยศ ตำแหน่ง
เงินค่าตอบแทนที่ลงทุน
เวลาที่สูญเสียไป
สุขภาพที่แข็งแรงกว่าเดิม
ความรัก และความมีหน้ามีตา จากคนรอบข้างที่เดินจากเราไป

เมื่อเลือกทำ ๒-๓ วิธีข้างต้น
ในที่สุด ก็จะผ่านพ้น “ความมืดมิด” ไปได้
ถ้ายังไม่ผ่าน ก็นึกถึง “กราฟ”
ให้มั่นใจได้เลยว่า ทุกคน เมื่อตกต่ำจนถึงที่สุดแล้ว
ชีวิตจะพุ่งทะยาน ดีดตัวขึ้นแรง ตามความหนักเบาของกราฟชีวิต

ท่องไว้ในใจ ปลอบใจตัวเอง ดังๆ ในใจว่า

“ตกต่ำถึงที่สุดแล้วจะเฮง”

ยังเครียด ก็หาเพลงฟัง หาอาหารอร่อยชิม
หาเครื่องดื่มอร่อยๆ ชิล หาคนคุยถูกใจ ถูกคอ คุย
หาหนังสือดีๆ อ่านสักเล่ม
แล้วจะพบว่า “ตกต่ำถึงที่สุดแล้วจะเฮง” เป็นเรื่องจริง

สำคัญที่สุด บอกตนเอง
เมื่อชนะแล้ว อย่าระแวง อย่าอาฆาต อย่าพยาบาทคน
พยายาม อย่ามีศัตรูแม้แต่คนเดียว
เลี่ยงได้ อย่าทะเลาะวิวาทใคร
พยายาม อย่าทำให้ใครเจ็บ อย่าทำให้ใครตาย
เพราะความคิด คำพูด และการกระทำของเรา

เคยคิดลบคิดร้าย ก็คิดบวก คิดดี กับทุกคนรอบตัว
เคยพูดไม่ดี ไม่ถนอมน้ำใจ ไม่ให้กำลังใจคนรอบตัว
ก็เปลี่ยนคำพูดใหม่ ให้กำลังใจคน สร้างกำลังใจคนรอบตัว
เคยทำผิด ทำร้ายคนรอบตัว ด้วยความคิดและคำพูด
ก็เลิกคิดไม่ดี เลิกพูดไม่ดี กับคนรอบตัว
ทดสอบทดลองปฏิบัติ ทำดู
ทำได้ จะพบว่า แสงสว่างแห่งความหวัง และความสำเร็จ
ใดๆ อยู่ที่ใจเรากำหนดได้จริง ๆ

Comments

comments