225. ขุนนางดี ขุนนางเลว ตอน ๒

๒.๕.๒๕๖๒

ขุนนางดี ขุนนางเลว ตอน ๒ ตอนจบ 

อุทิส ศิริวรรณ
เขียน

ที่มาจาก
คัมภีร์ฉางต่วนจิง 
ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดคัมภีร์รัฐประศาสนศาสตร์
การเมือง การปกครอง การบริหารราชการแผ่นดินแบบจีน

ผู้แต่งได้แบ่ง “ประเภท” ของ “ขุนนางดี” เอาไว้ ๖ ประเภท
๑. ขุนนางราชครู ๒. ขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ ๓. ขุนนางจงรักภักดี 
๔. ขุนนางชาญฉลาด ๕. ขุนนางสุจริต ๖. ขุนนางซื่อตรง

ส่วน “ขุนนางเลว” คัมภีร์ “ฉางต่วนจิง” ก็จัดแบ่งเอาไว้เป็น ๖ ประเภทเช่นกัน
๑. ขุนนางกะล่อน ๒. ขุนนางสอพลอ ๓. ขุนนางเพ็ดทูล
๔. ขุนนางโฉดชาติ ๕. ขุนนางปล้นชาติ ๖. ขุนนางล้างชาติ

ยุคนี้ เป็นยุคที่ “บ้านเมือง” ระส่ำระสาย
มากที่สุด
ในประวัติศาสตร์


เมื่อ “วิเคราะห์” ย้อนหลัง อดีต สู่ ปัจจุบัน
ปัจจุบัน มองไปข้างหน้าถึงอนาคต
ได้ข้อค้นพบว่ายังคงเป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์
“สงครามแย่งชิงอำนาจ” 

ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายงานว่า เมื่อเวลา ๑๔.๓๙ น. วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๒ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กถึงเรื่องการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๒ ที่ผ่านมา รวมทั้งมองว่า ไม่มีการเลือกตั้งครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองจะมีปัญหาเท่าครั้งนี้อีกแล้ว พร้อมไล่เรียงถึงการปฏิรูป ๕ ปี ไว้ ๑๐ ข้อดังนี้ว่า

๑. ผลการเลือกตั้ง ๒ ขั้ว ได้จำนวน ส.ส. ไล่เลี่ยกัน ไม่ชนะขาด การรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความยากลำบาก

๒. มีกระแสข่าวความต้องการซื้อตัว ส.ส. ที่เรียกว่า “งูเห่า” เพื่อไปสนับสนุนขั้วตรงข้าม

๓. พรรคประชาธิปัตย์ “แทงกั๊ก” จับปลาสองมือ หัวหน้าพรรคลาออก หาคนแทนยังไม่ได้ ทะเลาะกันเอง จะอยู่ขั้วรัฐบาลดันหาเสียง “ต้านสืบทอดอำนาจเผด็จการ” ไปแล้ว จะเป็นฝ่ายค้านก็ “อดอยากปากแห้ง” แถมมีพวกคิดว่าจะเป็นฝ่ายค้านอิสระ (แบบพิเศษ) ยังไม่รู้จะเอาไงกับชีวิต

๔. พรรคอนาคตใหม่ คะแนนเสียงล้นหลาม เลยถูกข้อหา “หมั่นไส้” ทั้งหัวหน้าพรรคและเลขาฯพรรค คดีตามมาเป็นพรวน ยังไม่ทันได้เข้าสภา ก็เริ่มสงครามการเมืองแล้ว ถึงวันนี้ยังไม่รู้ออกหัวออกก้อย

๕. ฟ้องร้องกันอุตลุดเกี่ยวกับหุ้นสื่อของบรรดาผู้สมัคร เริ่มจากธนาธร พรรคอนาคตใหม่ ลามไปถึงพรรคพลังประชารัฐ สักพักคงมีเรื่องอื่นให้ฟ้องกันอีก

๖. ป่านนี้ยังเถียงกันไม่จบ ว่าจะใช้สูตรไหนคำนวน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ โทษไปถึงคนร่างรัฐธรรมนูญ ความคิดเห็นมากมายหลายสูตร ส่วนคนร่างบอกไม่เกี่ยว ร่างอย่างเดียว หมดหน้าที่แล้ว

๗. กกต. โยนให้ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับ บอกเป็นหน้าที่ของ กกต. เอง จึงกลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ถูกรุมสหบาทา ตั้งแต่การเลือกตั้ง ถึงผลคะแนน จนบัดนี้ กว่าเดือนยังประกาศรายชื่อไม่ได้ พอจัดนับคะแนนใหม่ที่ จ.นครปฐม ยิ่งเละไปกว่าเดิม

๘. ตั้งนายกฯ ต้องพึ่ง ส.ว. ๒๕๐ เสียง ถูกครหาว่า ตั้งเอง เลือกเอง ชงเอง กินเอง สนุกจริงๆ

๙. บางพรรคหัวหน้าพูดไปทาง ลูกพรรคไปอีกทาง อีกพรรคหัวหน้าพูดคนเดียว ไม่รู้ว่าลูกพรรคอยู่ไหน หันอีกทีแอบไปนั่งอยู่ขั้วตรงข้ามเสียแล้ว

๑๐. แม้ดันทุรังตั้งรัฐบาลได้ แต่แค่ผลักเบาๆ ก็ล้มไม่เป็นท่า

พร้อมกันนี้ นายชูวิทย์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า “ปฏิรูป ๕ ปี ได้สภาพแบบนี้ เสียภาษี เสียเวลา เสียความรู้สึก แล้วยังเสียเงินเลือกตั้งไปเกือบ ๖,๐๐๐ ล้านบาทไทย แทนที่ทำแล้วจะดีขึ้น กลับถอยหลังลงคลอง อุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ความไม่แน่นอนสูง เศรษฐกิจตก ต่างชาติไม่มั่นใจ เกษตรกรไส้แห้ง พืชผลตกต่ำ ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ส่วนรัฐบาลไม่รู้เอาอะไรมาคิด จะแจกเงิน ๑,๕๐๐ บาท เอาไว้เที่ยวแก้กลุ้ม คอยดูเอาเถอะ กาปฏิทินไว้ข้างฝา ไม่เกินธันวาปีนี้ ได้ดู “ลิเกการเมือง” เลือกตั้งกันใหม่อีกรอบ สงครามครั้งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น”

เลยเห็นเป็นโอกาสดี นำเรื่องราว “ขุนนางเลว ๖ ประเภท”
มาเล่าสู่กันฟัง

๑. ขุนนางกะล่อน ๒. ขุนนางสอพลอ ๓. ขุนนางเพ็ดทูล
๔. ขุนนางโฉดชาติ ๕. ขุนนางปล้นชาติ ๖. ขุนนางล้างชาติ 

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๑ “ขุนนางกะล่อน”


ทำงานแบบ “กินตามน้ำ” ใส่ “เกียร์ว่าง”
ระมัดระวังตัวไม่ให้ผิดกฎระเบียบขององค์กร
เมื่อไม่มีผลงาน ก็ไม่มีความผิด
เลยมีผลทำให้สามารถรับเงินเดือนได้ทุกเดือน

การงานก็ทำไปตามหน้าที่
แต่ไม่ได้กระตือรือร้น ทุ่มเทเอาใจใส่
คอยปรับตัวตามกระแส
เอาตัวรอดได้ตามสถานการณ์และเงื่อนไขเหตุการณ์จะพาไป
ไม่มีจุดยืนแน่นอนเด่นชัดว่าจะเลือกฝ่ายใด
แต่นิสัย “ละโมบโลภมาก” ไม่ใส่ใจงานที่ไม่ได้เงิน
ลู่ตามลมบน ลมปากนาย
ยึดคติ “ได้ครับพี่ ดีครับนาย สบายครับผม เหมาะสมครับท่าน”
พร้อมที่จะ “ฆ่าน้อง ฟ้องนาย ขายเพื่อน”  เพื่อเอาตัวเอง
และรักษาตำแหน่งให้อยู่ได้ตราบนานเท่านาน
เกาะขาเก้าอี้แน่น เปลี่ยนสีได้ตลอดเวลา ตามทิศทางลมบน
ขุนนางเช่นนี้ เรียกว่า “ขุนนางกะล่อน”

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๒ “ขุนนางสอพลอ”

ฮ่องเต้เอ่ยปากตรัสถึงสิ่งใด ก็เออออห่อหมกตาม
เป็นขุนพลอยพยัก อะไรที่ฮ่องเต้ทำ ผิดหรือถูก
ก็เพ็ดทูลว่า “ถูกต้องพระเจ้าข้า”

และสืบเสาะ แสวงหา ค้นหาสิ่งที่ “ฮ่องเต้” โปรดปรานมาถวาย
มุ่งเพียงให้ฮ่องเต้มีพระเกษมสำราญ ไม่คำนึงถึง
ผลดีผลร้ายในการปกครองบ้านเมืองในภายหน้า

ขุนนางประเภทนี้ มีจำนวนมากมายเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์
เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ เพราะไม่เคย “ขัดแย้ง” “ขัดคอ” “ขัดพระทัย”
เก็บอาการเก่ง ไม่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยหรือไม่พอใจ
พยายามจับ “จุดอ่อน” ของฮ่องเต้ แล้วสรรหาสิ่งที่ฮ่องเต้พอพระทัย
นำมาถวายให้โปรดปราน ยกตัวอย่าง “ฮ่องเต้” โปรดปราน “การอ่าน”
ก็จะสรรหาหนังสือดี หนังสือเก่าแก่ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ มาให้อ่าน
ทำตัวเป็นคลั่งไคล้ในประวัติศาสตร์ วรรณคดี ตามไปด้วย

ในประวัติศาสตร์ยุค “จ้านกว๋อ” (สงครามระหว่างรัฐ) มีบันทึกไว้ว่า
ฮ่องเต้ฉีเหิงกง ไม่โปรดปรานสีม่วง
จึงรับสั่งถาม “กว่านจ้ง” ว่า ” สมควรทำเช่นไร ?”

ขุนนางกว่านจัง ตอบว่า
“นับแต่วันพรุ่งนี้
ให้รับสั่งกับผู้ที่ใส่เสื้อผ้าสีม่วงเดินผ่านว่า
“สีม่วงเหม็นเหลือเกิน ให้หลีกไปไกลๆ”
แค่นี้เอง ไม่ยากอะไรเลย”
ฮ่องเต้ทำตามคำแนะนำของขุนนางกว่านจ้ง
หลังจากนั้นภายใน ๑ เดือน ก็ไม่มีใครสวมใส่
อาภรณ์สีม่วงอีกเลย

ดังนั้น ฮ่องเต้นิยมสิ่งใด ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะรีบ
รับสนองพระบรมราชโองการทันที
นี่คือพลังอำนาจที่รุนแรงยิ่งนักของขุนนางสอพลอ
ที่ต้องการประจบประแจงเอาใจเจ้านาย
แม้จะต้องปฏิบัตินอกลู่นอกทางเพื่อเอาใจฮ่องเต้
ก็รีบลงมือทำทันที

ในไทยเอง แวดวงนายพล ที่เอาใจนายพลด้วยกัน
สุดท้าย ไปไม่รอด ถูกน้อง ถูกนาย ถูกเพื่อน
รุมสกรัมจนถูกอเปหิออกจากหน่วยงานเก่า
ที่ตนเองหวัง “ตำแหน่งสูงสุด” ก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว

ขุนนางประเภทนี้ เรียกว่า “ขุนนางสอพลอ”

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๓ “ขุนนางเพ็ดทูล”

ขุนนางประเภทนี้ใช้ “วจีกรรม” ใช้ปาก เป็นอาวุธร้ายแรง
ที่นำมาซึ่งหายนะ วิบัติ และภัยพิบัติ เคราะห์ร้าย เคราะห์กรรม
สู่ผองเพื่อน  “โอษฐภัย” เป็นอาวุธร้ายแรงที่พวกเขาใช้
ในการห่ำหั่นข้าศึกศัตรูในวงการ

ขุนนางประเภทนี้ มีความรู้มาก สมัยนี้ก็ระดับ ดร.
ระดับ ศาสตราจารย์ ระดับนายพล ระดับอธิบดี ระดับอธิการบดี
แต่ใช้ “ปาก” กลบเกลื่อนความผิดของตน
เอาดีใส่ตัว เอาชั่วโยนใส่คนอื่น
ไม่คำนึงถึง “ความจริง” และ “ข้อเท็จจริง”
ถนัดในการประดิษฐ์วาทกรรมในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม
ใช้คารมยุแยงยุแหย่ฮ่องเต้ให้ระแวงและแตกความสามัคคี
ทั้งในเหล่าพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ ทั่วราชสำนัก
หนักเข้าก็เดินสาย “คารวะแผ่นดิน” เรียกร้องให้พสกนิกร
เข้าใจผิดคิดคด พูดดำเป็นขาว พูดขาวเป็นดำ
พวกตัวก็ยกยอปอปั้นว่าดีเลิศ
พวกคนอื่นก็ด่าว่าใส่ร้ายใส่ความ
ทำตัวเป็น “บ่างช่างยุ” ไม่สนใจธุรกิจเศรษฐกิจจะเสียหายพังยับเยิน
เอาประโยชน์ตัว พวกตัว เป็นสำคัญ

ขุนนางประเภทนี้ เรียกว่า “ขุนนางเพ็ดทูล”

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๔ “ขุนนางโฉดชาติ”


ขุนนางประเภทนี้ ร้ายกาจ และน่ากลัวที่สุด
พูดจาดี ไพเราะ เป็นผู้ดี มีสกุล นุ่มนวล สุภาพ อ่อนโยน
หน้าตาใจดี มีเมตตา แต่ส่วนลึกของจิตใจ
เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย อิจฉาริษยาสูง
ครุ่นคิดที่จะเลื่อยขา ทำให้ผู้ที่มาเกี่ยวข้อง
เสื่อมเกียรติ เสียชื่อเสียง ด้วยข้อกล่าวหาง่ายๆ “ทุจริต”
“ยักยอก” “ฉ้อฉล” วันใดที่มีประโยชน์ก็ยกย่องว่าดี
วันใดที่เห็นว่าหมดผลประโยชน์ ก็ฆ่าทิ้งทันที
เมื่อคิดจะทำร้าย ทำลายใคร ก็จะขยาย “จุดอ่อนเล็กๆ”
ให้กลายเป็น “แผลขนาดใหญ่โต”
ไม่กล่าวถึง “คุณงามความดี” ที่มีเยอะแยะมากมายแม้แต่น้อย
เหล่าขุนนางโฉดชาติ ทำให้ราชสำนักเสื่อมเสีย
ทำให้ฮ่องเต้ลงโทษคนผิดมานักต่อนัก
ด้วย “หูเบา” จึงทรง “หวาด” และ “ระแวง”
คนดีมีฝีมือที่มีจิตอาสา มุ่งรับใช้ราชสำนัก
โดยไม่เห็นแก่ความยากลำบากใดๆ ทั้งสิ้น

และส่วนมากขุนนางโฉดชาติ มักจะเป็นใหญ่ มีอำนาจวาสนา
มีบารมีมาก ทัดหน้าเทียมตาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
มีตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก
สมัยโบราณส่วนมากมักจะรับราชการจนได้เป็น “มหาขันที”
ซึ่งขันที่ที่แปรสภาพจนกลายเป็น “ขันทีดิจิทัล” มีเป็นอันมาก
ในวงการเมือง ประเทศต่างๆ ในห้วงเวลานี้ 

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๕ “ขุนนางปล้นชาติ”


พยายามทุกวิถีทางกับพวกพ้องในที่อันที่จะ “รวบอำนาจ”
และ “ยึดครองอำนาจ” โดย “หวงแหนอำนาจ” เอาไว้กับตัว
ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ คิดอ่านและทำเป็นขบวนการ
โดยใช้ “เนติบริกร” รับใช้ ออกพระราชบัญญัติ ออกข้อกำหนด
ที่เอื้อประโยชน์ ตนและพวกพ้อง  ขั้วอำนาจเก่า ราชสำนักเก่า
ที่ไม่ลงให้ ก็ร่างฟ้อง ยัดเยียด ปรักปรำ ข้อหาความผิดต่างๆ นานา
ส่วนมากก็เน้น “ทุจริตคอรัปชัน” เพราะง่ายก็การกล่าวหา
แต่ทว่ายากต่อการจะแก้ตัวแก้ต่าง  ขุนนางฝ่ายดี ที่ตงฉิน
เสียรู้ เสียผู้ เสียคน กับเหล่าขุนนางปล้นชาติ มานักต่อนัก
ถ้าไม่เข้าพวกด้วย ก็เอาคดีความยัดใส่  เอาคุกตะรางมาโยนให้
จนเดือดร้อนวุ่นวายปั่นป่วน ไม่สงบสุข ไม่เป็นอันทำมากิน
สุดท้าย ไม่อยากเป็นคดี เป็นความ ก็ยอมๆ กลุ่มขุนนางปล้นชาติ
ซึ่งแผ่อิทธิพลออกไปทุกกระทรวงทบวงกรมหลัก พวกตัวผิดก็ชุบตัว
ป่าวประกาศว่าถูกให้เป็นคนใหม่ ชีวิตใหม่ ไม่ใช่พวกตัวก็แอบอ้าง
พระบรมราชโองการฮ่องเต้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้แก้ตัวแก้ต่าง
ทางคดีความ ซึ่งเสียเวลา ยืดเยื้อยาวนาน นานหลายปี
บ้านเมืองต่างๆ เดือดร้อน ก็เพราะ “ขุนนางปล้นชาติ”

ขุนนางประเภทนี้ มักจะเติบโตมาจากสาย “กบฏ” แย่งชิงอำนาจ
อันชอบธรรมของผู้อื่นมาเป็นของตน รวมศูนย์กลางอำนาจไว้ที่ตน
โดยออก “กฎหมาย” เพื่อให้ตนและพวกพ้องพ้นผิดแบบโจ๋งครึ่ม
ไม่นึกถึงความถูกต้องชอบธรรม และพอยึดศูนย์กลางอำนาจเอาไว้ได้
ก็จะแผ่อิทธิพลออกไปทั่วพสุธา พร้อมที่จะกลับดำเป็นขาว
ใส่ร้ายใส่ความฝ่ายตรงข้ามจากขาวสะอาดก็กลายเป็นสีดำสีเทามัวหมอง
หม่นหมอง ขอเพืยงได้มาซึ่ง “อำนาจ” เพื่อที่จะจัดสรรแบ่งปัน “งบประมาณ”
เพื่อตน และพวกพ้อง โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้องชอบธรรม

สุดท้ายขุนนางเหล่านี้หนีอะไรก็อาจจะหนีรอดไปได้
แต่หนีไม่พ้น “กรรม” ที่ตนเองก่อไปไม่รอด
จากสถิติไม่เป็นโรคมะเร็งร้าย ก็มักจะเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ
โรคเครียด โรคซึมเศร้า  และโรคอื่นๆ ที่เป็นราวกับ “สนิม” เกิดจากเนื้อในตน ใครไม่ต้องทำอะไรใดๆ ก็เสวย “วิบากกรรม” ตามหลัก “กฎแห่งกรรม” ด้วยตนเอง

ขุนนางประเภทนี้ เรียกว่า “ขุนนางปล้นชาติ”

 

ขุนนางเลว ๑ ประเภท ๖ “ขุนนางล้างชาติ”

 

เป็นขุนนางประเภทสุดท้ายในเหล่า ๖ ขุนนางชั่วช้า
ใช้ “ทฤษฎีสมคบคิด” สนับสนุนฮ่องเต้ให้ว่าราชการปกครองแผ่นดิน
โดยไม่ถูกต้องชอบธรรม และโยนความผิดทั้งหมดให้ฮ่องเต้รับเคราะห์กรรมแทน
ปิดบังพระเนตรพระกรรณ ไม่ให้รับรู้ข่าวสารบ้านเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
มีผลร้ายแรงต่อ “วิสัยทัศน์” ของฮ่องเต้ ทำให้ตัดสินพระทัยในเรื่องใหญ๋
เรื่องสำคัญผิดพลาด ยังผลให้ฮ่องเต้มิอาจตัดสินพระทัยจำแนกผิดชอบชั่วดี
ได้ถูกต้องตามความเป็นจริง คนที่ผิดฮ่องเต้ก็ลงโทษ ติดคุกติดตารางยาวนาน
เพราะข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งทั้งที่ในความเป็นจริงหลายต่อหลายคน
ไม่ได้กระทำการอุกอาจเช่นนั้น แต่ถูกยัดเยียดปรักปรำ ใส่ร้ายใส่ความ
มีการสร้างหลักฐานเท็จ พยานเท็จ เบิกความยัดเยียดปรักปรำ โดยที่ไม่มีโอกาส
แก้ตัวแก้ต่าง เพราะอ่อนแอ และไม่ชำนาญการเรื่องกฎหมาย

ซึ่งฮ่องเต้ในอดีตและผู้มีอำนาจในรัฐบาลต่างๆ เดือดร้อนวุ่นวายกายและใจ
กระทั่งถึงปัจจุบัน และคงจักมีผลถึงอนาคตก็เพราะขุนนางจำพวกนี้
และในที่สุด ฮ่องเต้ ก็ถูกพสกนิกร อาณาประชาราษฎร์ ล้มล้างราชบัลลังก์
แย่งชิงพระราชอำนาจ บังคับให้ฮ่องเต้เป็น “หุ่นเชิด” แอบอ้าง “พระบรมราชโองการ”
ออกกฎหมาย “ปรักปรำ” ฝ่ายตรงข้าม กำราบให้อยู่ใต้ “กฎหมาย” ที่ตราและออก
โดยไร้ความชอบธรรม ที่ร้ายกว่านั้นคือนำตัวฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยไป
“ลอบสังหาร” ให้ตายไปโดยไร้ร่องรอย ตลอดกาล และขุนนางบางกลุ่ม
ก็ร่วมกับกลุ่มทุนใหญ่ชาติมหาอำนาจขายทรัพย์สิน ขายแผ่นดิน ให้แก่
“มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ” ซึ่งมีให้พบเห็นเป็นอำนาจในนานาชาติ
ประเทศต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น “เวเนเซอูล่า” ซึ่งแม้จะมี “น้ำมันดิบ” เป็นจำนวนมาก
แต่เมื่อได้ “ขุนนางล้างชาติ” มีอำนาจปกครองแผ่นดิน จากชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
ก็กลายเป็น “รัฐล้มเหลว” ส่อแวว “สิ้นชาติ” ไม่ต่างจาก “มอญ” และ “ขอม”
ซึ่งเคยเรืองอำนาจในอดีต

ขุนนางเลวประเภทสุดท้ายเรียกว่า “ขุนนางล้างชาติ”

 

เวลานี้ ทุกวงการ ทุกชาติ กำลังเผชิญกับ
“ขุนนาง” ประเภทต่างๆ 
 

 

เอกสารอ้างอิง
ที่มาของบทความชุดนี้

สรุปและปรับความจาก
หนังสือ CEO สอนน้อง
ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ตีพิมพ์ปี ๒๕๕๑ 
หน้า ๑๑-๒๐

ขอบคุณผู้เขียนคือคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์
ที่อุตสาหะแปลจากภาษาจีนให้อ่านไว้ ณ ที่นี้

Comments

comments