50. ชนะแบบเวียดนาม

ชนะแบบเวียดนาม

ศาสตราจารย์ ดร. อุทิส ศิริวรรณ

พิมพ์เผยแพร่เป็น “วิทยาทาน”

๓ กันยายน ๒๕๕๕

 

ช่วงเดือนมกราคม   ผมมีโอกาสไปเที่ยวเมืองโฮจิมินห์ ซึ่งชื่อเดิมคือไซง่อน

ระหว่างวันนี้ ผมได้มีโอกาสพบปะ และสนทนากับกลุ่มนักธุรกิจเวียดนามหลายคน

การเดินทางครั้งนี้ ได้เดินทางท่องเที่ยวเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ เช่นตลาดบินถั่น จัตุรัสโฮจิมินห์ อุโมงค์กู่จี เมืองใต้พิภพอันเลื่องชื่อแห่งเวียดนามใต้

ผมได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเวียดนามหลายกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ไม้ กลุ่มธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับ กลุ่มธุรกิจสิ่งทอและเสื้อผ้า  รวมถึงกลุ่มธุรกิจอาหาร

ตลอด 4 วัน ได้เรียนรู้จนตกผลึกว่าถ้าจะชนะแบบเวียดนาม ต้องมีหลักคิดอย่างนี้

ความคิดแรก  ต้องทำจากเล็กไปใหญ่ เล็กๆ ก็ชนะใหญ่ได้ ถ้ารบเป็น

ความคิดนี้เกิดจากการชมคลิปประวัติอุโมงค์ใต้พิภพที่ยาวกว่า 200 กิโลเมตร

ขอเพียงรวมพลัง ขอเพียงรวมใจเป็นหนึ่ง  ขอเพียงกล้าที่จะสู้ กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า คนเอเชียก็ชนะฝรั่งได้ อเมริกาแพ้ยับเยินในสงครามครั้งนี้

ไม่มีครั้งใดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาจะอัปยศอดสูเท่าครั้งนี้อีก

รัฐบาลอเมริกา สูญเสียมากมายมหาศาล ทั้งเสียเงิน เสียเวลา เสียพลังงาน เสียโอกาส เสียประชาชนพลเมืองจำนวนมาก

ขนาดประธานาธิบดีอเมริกาเอง ก็ยังสูญเสียตำแหน่ง เพราะสงครามที่คิดว่าเล็กๆ  แต่ไม่เล็ก

ความคิดที่ 2 ต้องคึกคัก  ผมพบว่า ความคึกคัก  เป็นเสน่ห์อันสำคัญของเวียดนาม

เดินทางไปถนนย่านไหนของกรุงโฮจิมินห์ จะพบแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่การปรับปรุงอาคารร้านรวงให้ทันสมัย  พบแต่การจัดกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นให้คนออกมากิน ออกมาเที่ยว ออกมาสนุกสนาน

นักท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นเมือง รัฐบาลที่นั่นกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวได้ดีมาก

ผมยังคิดเลยว่า ถ้าเชียงใหม่ หรือกรุงเทพฯ ยอมให้รถติด ยอมให้ถนนทุกสายคึกคัก ก็จะปลุกภาพความมีชีวิตชีวาให้กลับคืนดีดุจเดิม

ไม่ต้องง้อนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็ทำได้ ถ้าคนในชาติร่วมมือกันกิน ร่วมมือกันบริโภค

ความคิดที่ 3 ความขยัน เราต้องยอมรับว่า คนเวียดนาม ขยันทำมาหากิน ขยันสู้ชีวิต หนักเอา เบาสู้

เดินไปไหนมาไหน ภาพที่จะเห็นคนที่นั่น เดินมาขอทานแบบว่าสองมือเปล่า มีน้อยมาก

ส่วนใหญ่ จะมีสินค้าแลกเปลี่ยนตลอดเวลา

ความคิดสุดท้าย ผมคิดถึงบรรทัดฐานทางสังคม และบรรทัดฐานทางการตลาด

บรรทัดฐานทางสังคมคือ การมีน้ำใจ โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เอารัดเอาเปรียบ

คนเวียดนาม มีเหมือนคนไทย

ส่วนบรรทัดฐานทางการตลาด กล่าวคือ การคิดค่าตอบแทนตามระยะเวลา ระยะทาง ค่าเสียเวลา ค่าเสียโอกาส ที่เวียดนามยังต่ำมาก

นั่งรถไปสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทั่วโฮจิมินห์ ไกลแค่ไหน ก็ไม่เกิน 100,000 ดองเวียดนาม หรือประมาณ 150 บาท

ขนาดคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่นักธุรกิจเวียดนาม สามารถคิดเงินนักท่องเที่ยวได้ ด้วยวิธีการแตกต่างจากนักธุรกิจประเทศอื่นๆ

อินเดีย ใช้วิธีสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ จับไม้จับมือ

จีน ใช้วิธีจิ้มเครื่องคิดเลข เวลาซื้อของต่อราคาของ

แต่ที่เวียดนาม ใช้ 4 วิธี พูดเป็นภาษาถิ่น ฟังไม่รู้เรื่องก็ใช้ภาษาใบ้ ยังฟังไม่ออกก็กดเครื่องคิดเลข

ถ้ายังฟังไม่รู้เรื่อง ก็เอาเงินจริง ธนบัตรชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ยกขึ้นชูให้เราดูว่าจ่ายเท่านี้นะ

เพียงแค่นี้…ลูกค้าชาวไทยก็ควักตามทันที ด้วยเหตุผลง่ายๆ สั้นๆ สินค้าที่นี่ ถูกกว่าเมืองไทย

ใครเบื่อเมืองไทยช่วงนี้ ลองคลิกเข้าไปในอินเทอร์เน็ต แล้วจองแอร์เอเชียเนิ่นๆ ผมว่าระยะเวลาแค่ 2-3 วัน ค่าเที่ยวเวียดนามใต้ รวมที่พักอาหารและค่าเครื่องบินต่อคนไม่น่าจะเกิน 5 พันบาท

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น อยากเห็นชัยชนะแบบเวียดนาม ต้องแพ็คกระเป๋าไปดูกันเอาเองครับ!!!

Comments

comments