40. แง่คิดจากผู้นำมืออาชีพ

แง่คิดจากผู้นำมืออาชีพ

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. วิษณุ เครืองาม


ศ. ดร. อุทิส ศิริวรรณ

14 สิงหาคม 2555

สรุปความจากบทสัมภาษณ์โดยคุณสุรนันท์ เวชชาชีวะ
รายการ สุรนันท์ tonight
“เรื่องเล่าจากเนติบริการ”
ศ. ดร. วิษณุ เครืองาม
เจ้าของผลงานหนังสือชื่อดัง

เล่ม 1  เล่าประสบการณ์ทำงานที่ “ทำเนียบรัฐบาล” กับนายกรัฐมนตรีแต่ละคนที่แตกต่างสไตล์ และหลากหลายรูปแบบ
“โลกนี้คือละคร”

เล่ม 2 ตีแผ่เบื้องหลังคนเป็นนายกรัฐมนตรี และคนเป็นรัฐมนตรี

“เลาเรื่องผู้นำ”

เล่ม 3 หลังฉากการเมืองของนักแสดงต่างๆ ที่ “ทำเนียบรัฐบาล”

“หลังม่านการเมือง”

สิ่งที่อาจารย์วิษณุต้องการสื่อ “คนเรามีส่วนดีและไม่ดี “ ส่วนสำเร็จไม่สำเร็จ” “ไม่มีคนเลวหมด หรือดีหมด”

รู้จักเอาส่วนดีมาใช้ ส่วนไม่ดีไม่ต้องเห็น แง่ดีของนายกฯ คนไหนคืออะไร แง่ไม่ดีคืออะไร?

ท่านพุทธทาสบอก “หาคนดีเหมือนหาหนวดเต่าเขากระต่าย”

พระพยอมเทศน์สอนเสมอว่า  “รักใครต้องเผื่อใจ อย่ารักหมด”

อาจารย์ต้องการถ่ายทอด “บทเรียนจากผู้นำ”

ต้องการถ่ายทอดประสบการณ์ทำงาน “จากรุ่นแรก” ถึง “รุ่นหลัง” คล้ายคู่มือ

อาจนำไปใช้ “ดัดแปลง” อาจต้องมี “หลังม่านของหลังม่าน” หรือ “รื้อเวที”

อาจารย์วิษณุ เสนอว่า คนที่จะเป็น “ผู้นำ”  จะต้องใช้หลักการเช่นเดียวกัน 3 หลัก

  1. สมาธิ ต้องใช้หลักศาสนา ทำเรื่องนี้ คิดเรื่องนี้ “อยู่กับปัจจุบัน” คำสอนพระพุทธเจ้า หรือครูบาอาจารย์ท่านใด ไม่ต้องคิด 7 อย่าง 10 อย่าง
  2. ความจำ  อ่านแล้วต้องจับประเด็นให้ได้ว่า ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร อย่างไร? บางอย่างจำยาก ผูกเป็นกลอน เป็นภาพ เป็นเรื่อง
  3. การนำเสนอ พูดให้ลูกศิษย์ฟังไม่รู้เรื่อง ก็พูดให้คนอื่นฟังไม่รู้เรื่อง ดังนั้น การนำเสนอ การถ่ายทอด การบอกเล่า “สำคัญที่สุด”

ตอนนี้สิ่งที่อาจารย์วิษณุอยากทำคือเรื่อง “ปฏิบัติธรรม”  ล่าสุดก็เพิ่งไปอบรมหลักสูตร “ครูสมาธิชั้นสูง” กับหลวงพ่อวิริยังค์
วัดธรรมมงคล แถวบางจาก สุขุมวิท

 

ทุกวันนี้อาจารย์วิษณุ ก็สอนหนังสือ แต่ไม่ได้สอนเรื่อง “กฎหมาย” ทั้งที่เป็นศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย
สิ่งที่ทำคือ สอนเรื่องจัดการ “คน” โดยเฉพาะ “เรื่อง” ที่ “สำคัญ” และเป็น “ความลับ”

สอนเรื่อง “การจัดการ” นโยบายที่โคม่า เข้าขั้นหนักหนาสาหัส วิกฤต จัดการไม่ดี ซ้ายก็ “ดิ่งเหว” ขวา ก็ “ลงเหว”

จะแก้ “ปัญหา” จนพบ “ทางออก” ที่ชนะ-ชนะ- ทุกฝ่ายอย่างไร? นี่คือ “เคล็ดวิชา” ที่อาจารย์มี

อีกเรื่องคือเรื่อง “ความลับ” ของผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เป็น “เสาเอก” และ “เสาหลัก”

เรื่อง “ความลับ” อะไรที่ควรโพนทะนา อะไรที่ควร “เปิดหมด” อะไรไม่ควร “เปิด”

บางเรื่องเขาอาจ “ทำอยู่” และ “ทำ” ต่อไป  อย่าบอกใครนะ เมียผมยังไม่เล่า

พอมีตำแหน่งหน้าที่ ก็เป็นหลักการ “สำคัญ”

รายงานพิเศษ “กฤษณาสอนน้อง” เวอร์ชัน “วิษณุ”

หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ

ที่มา:
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313478693&grpid=no&catid=50
30 ปีก่อน… “พวกเขา” เป็น “นักเรียนทุนรัฐบาลรุ่นเดียวกัน” รับทุนจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไปศึกษาที่ประเทศสหรัฐเหมือนกัน

คนหนึ่ง เป็น “อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์”

อีกคนหนึ่ง เป็น “นายร้อยตำรวจตรี”

ก่อนที่คนทั้งคู่จะเดินทางกลับบ้านเกิดด้วยดีกรี “ด๊อกเตอร์” ทว่า “พวกเขา” ไม่รู้จักกัน

หลายปีต่อมา… “เขาคนหนึ่ง” เป็นประธานอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ ซึ่งเป็นธุรกิจครอบครัวของ “เขาอีกคน” แพ้คดี “องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย” เป็นเงิน 100 ล้านบาท

ตอนนั้น “วิษณุ เครืองาม” ได้ยินชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” พอๆ กับที่คนอื่นได้ยิน แต่ไม่เคยพบตัวเป็นๆ และไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็น “ลูกน้อง” ของ “อดีตนายตำรวจ” ที่ผันตัวมาเป็น “นักธุรกิจ” ก่อนกลายเป็น “นักการเมือง” ในที่สุด

กระทั่งปี 2535 “ชวน หลีกภัย” นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ส่งชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ว่าที่ “รมว. ต่างประเทศคนใหม่” ในโควต้าพรรคพลังธรรม ให้ “วิษณุ” ในฐานะ “เลขาธิการคณะรัฐมนตรี” ตรวจสอบคุณสมบัติ

ท่ามกลางเสียงคัดค้านเซ็งแซ่ว่า “อดีตบอสใหญ่แห่งชินคอร์ป” ส่อขาดคุณสมบัติจากกรณีมีหุ้นในกิจการสัมปทานกับรัฐ อีกทั้งยังมีข่าวพัวพันกับการยึดอำนาจในกัมพูชา

เมื่อการตรวจสอบในทางลับไม่พบ “ลักษณะต้องห้าม” เลขาธิการ ครม. จึงแจ้งนายกฯ ก่อนนำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง

แต่ระหว่างนี้ ดันพบ “รัฐมนตรีจากพรรคความหวังใหม่” มีปัญหาคุณสมบัติเข้า ทำให้การขึ้นแท่น “เสนาบดีบัวแก้ว” ของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ในการปรับ ครม. คราวเดียวกัน ถูกถอดออกไป จน “คนสนิท” ต้อง โทร.จิก “คนตรวจโผ”

แม้สุดท้าย “พ.ต.ท.ทักษิณ” จะได้นั่งเก้าอี้สมใจ แต่เสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง “ขาดคุณสมบัติ” กลับไม่จางลง

วันหนึ่งมีคนตั้งคำถามกับ “บัวแก้ว 1” ว่า “เขาว่าตอนนั้นท่านขาดคุณสมบัติ”

คำตอบที่หลุดจากปากเจ้าตัวชัดเจนว่า “น็อตหลุด”

“เขาไหน… เขาเลขาฯ ครม. ใช่ไหม เป็นแผนการที่เลขาธิการ ครม. ยอมตกเป็นเครื่องมือปล่อยข่าว ถ้าเขารู้ว่าผมขาดคุณสมบัติแล้วทำไมจึงไปรายงานตอนแรกว่าผมมีคุณสมบัติครบ ถ้วน เสร็จแล้วมาแทงผมข้างหลัง ข้าราชการอย่างนี้แย่มาก!”

ร้อนถึง “เขา ที่ถูกพาดพิง” ต้องโร่ไปเคลียร์ข้อหา “แทงข้างหลัง” พร้อมงัดหลักฐานยืนยันว่าไม่เคยแสดงสัญญาณใดๆ กับใครว่า “พ.ต.ท.ทักษิณ” ขาดคุณสมบัติ เมื่อเห็นดังนั้น “พ.ต.ท.ทักษิณ” จึงตบไหล่แทนคำ “ขอโทษ” ก่อนเปรยว่า “รู้แล้วว่าใครแทงข้างหลัง”

สิ่งที่ “วิษณุ” รู้เช่นกันก็คือ “คนจะทำงานใหญ่ไม่ควรปากไวใจเร็ว แต่เมื่อกล้าออกปากขอโทษ ก็เป็นลูกผู้ชาย ยังอยู่ในวิสัยน่าจะทำงานใหญ่ได้”

 

อย่างไรก็ตาม “วิษณุ” เชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับ “ชินวัตรผู้พี่” จะไม่เกิดกับ “ชินวัตรผู้น้อง” นาม “ยิ่งลักษณ์” นายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ด้วยบุคลิกสุภาพนุ่มนวลของสตรีนางนี้

“ผมเห็นข้อดีอยู่ข้อเดียวในตัวคุณยิ่งลักษณ์ คือความเป็นผู้หญิง และก็นิ่มนวล ท่านอาจจะแข็งเวลาเป็นนักบริหาร ซึ่งผมไม่เคยเห็นบทบาทนั้น แต่เวลาหาเสียง เวลาสัมภาษณ์ ผมเห็นถึงความนิ่มนวล ตรงนี้จะเป็นสิ่งที่เอาชนะใจคนได้ และเป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่มี มีคนมาบอกผมว่าเวลาคุณยิ่งลักษณ์บริหาร แกแข็งจะตาย ซึ่งแกอาจจะเล่นเป็นก็ได้ ในเนื้องานก็ต้องแข็งไป ไม่ว่ากัน แต่ในสังคมประเภทถ้าทำไม่ได้ตามนี้ภายใน 3 วัน 7 วันจะย้าย ผมไม่คิดว่าคนอย่างคุณยิ่งลักษณ์จะพูด”

“ปัญหาหนึ่งของคุณทักษิณ ไปดูเถอะ หลายเรื่องคนที่มีบทบาทตรวจสอบคุณทักษิณ ไม่คุณทักษิณเคยมีปัญหากับเขา เขาก็มีปัญหากับคุณทักษิณมาแล้ว ดังนั้น ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง แต่หลายคนปรารถนาสารพัดในปฐพี ก็ใช้วิธีแจกเงิน ซึ่งได้ชั่วระยะหนึ่ง เงินที่แจกมา ใครก็ชอบ แต่ทำอย่างไรจะเอาไมตรีแลก ผูกใจไว้ดีกว่า”

“วิษณุ” เชื่อว่าท่าทีอ่อนน้อม-นุ่มนวลของ “ยิ่งลักษณ์” จะทำให้คนใกล้ชิด “ยิ่งเลิฟ”

ทว่า “ปัญหาใหญ่” ที่จะเกิดกับ “นายกฯ โคลนนิ่ง” โดยไม่เกี่ยงว่าเป็น “หญิง” หรือ “ชาย” หนีไม่พ้นการขาดไร้ประสบการณ์ทางการเมือง

“คุณทักษิณยังผ่านการเป็นรัฐมนตรีก่อนมาเป็นนายกฯ แต่คุณยิ่งลักษณ์ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี ไม่เคยเป็นกระทั่ง ส.ส. จึงเป็นเรื่องที่ต้องกระซิบกระซาบ แนะนำบอกกล่าวกันมากหน่อย เพราะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองเลย เรื่องเนื้อหา ท่านคงไปของท่านได้ แต่กระบวนการ วิธีการ ขั้นตอน ต้องมีการโค้ดกัน เรื่องใดควรพูด เรื่องใดไม่ควรพูด เรื่องใดควรให้ข่าว เรื่องใดไม่ควรให้ข่าว หลายเรื่องที่เป็นการทำงาน เลขาธิการนายกฯ กับเลขาธิการ ครม. จะมีความสำคัญ เพราะ 2 คนนี้จะแนะนำโดยไม่ต้องให้ชาวบ้านรู้

ดังนั้น จึงต้องได้เลขาธิการนายกฯ และเลขาธิการ ครม. ที่มีประสบการณ์ มีความกล้า ขณะเดียวกัน นายกฯ ก็ต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลเหล่านี้มาถึงตัวได้ ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาได้มาก”

 

“บุรุษที่มีโอกาสร่วมวง 10 รัฐบาล รับใช้ 7 นายกฯ” ทวนเข็มนาฬิกา-ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้ง “รมว. ต่างประเทศถอดด้าม” ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงในช่วงเย็นวันหนึ่ง

“คุณทักษิณยืนจิบไวน์ แล้วเอามือล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง จนเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งไปกระซิบว่าผิดมารยาทการทูต แกเถียงกลับมาว่าสมัยเป็นซีอีโอก็ทำแบบนี้ เจ้าหน้าที่บอกแต่ก่อนทำได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว ขนาดการพูดคุยกับทูต ยังต้องระวังไม่คุยกับทูตประเทศใดมากกว่าประเทศใดเลย นั่นเป็นระดับรัฐมนตรี ยังมีรายละเอียดที่ทำได้ หรือทำไม่ได้ ถ้ามาเป็นระดับนายกฯ มันมีเรื่องต้องพึงระวังอีกเยอะมาก”

สิ่งที่ “เนติบริกร” รู้สึกเป็นห่วงรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” เป็นอย่างยิ่งคือ “ฐานความผิดใหม่” ที่ถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ครั้งแรก โดยระบุว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. ก็ดี รัฐสภาก็ดี องค์กรตามรัฐธรรมนูญก็ดี ศาลก็ดี หน่วยงานของรัฐใดๆ ก็ดี ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตาม “หลักนิติธรรม” แต่ก่อนเรื่องเหล่านี้ไว้พูดกันในห้องเรียน ในงานสัมมนา เอาไว้ด่าคน แต่เมื่อมาอยู่ในกฎหมายจึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องทำ เป็นเหมือนฐานความผิดฐานหนึ่งถ้าไม่ทำ”

“รัฐบาลต้องท่องไว้ในใจตลอดว่าต้องยึดหลักนิติธรรม ซึ่งจะท่องแบบสวดมนต์ไม่ได้ เพราะมันจะมีผล ถ้าคุณไม่ทำตามนี้ เขาจะฟ้องเอา จะกล่าวหาเอา ถ้ากล่าวหาในสภาไม่เป็นไร คุณเสียงข้างมาก คุณชนะ กล่าวหาในสื่อมวลชน คนจะคล้อยตาม คุณจะอยู่ยาก กล่าวหาในศาล คุณต้องไปแก้คดี วันนี้คุณอยู่ในอำนาจ เขาอาจไม่กล่าวหาวันนี้ แต่กล่าวหาวันหน้า ต้องระวังเรื่องนี้ให้มากๆ กว่าคุณทักษิณ เพราะจะนำไปสู่ความผิดอื่นๆ มากโข”

จริงอยู่ ที่รัฐธรรมนูญปี 2550 ถูกบังคับใช้มา 4 ปีเศษ ใช้มา 4 รัฐบาล แต่ในยุครัฐบาล “สมัคร สุนทรเวช” และ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” มีเวลาทำงานน้อย อีกทั้งคนมัวชุลมุนกับเรื่อง “ม็อบ” มาถึงรัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็น่ารัก คนเลยไม่ทันโฟกัส

“เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก และโอกาสพลาดพลั้งสะดุดก็มีมากเหลือเกิน มีทุกวัน วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ยังงามสง่า ยิ่งมองยิ่งน่ารัก แต่พอเป็นรัฐบาลเข้า ปัง! โอกาสพลาดพลั้งมีตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ถ้าคุณยิ่งลักษณ์นั่งลงแล้วถามว่า “แล้วมันคืออะไรล่ะคะ?” คนอธิบายให้ฟังก็พูดยาก อาจจะบอกก็ลองทำดูก่อนสิแล้วจะบอกให้ นี่แหล่ะที่อันตราย”

 

เพื่อป้องกันความผิดพลาดเกิดขึ้นกับฝ่ายบริหารชุดใหม่ “เนติ” จึงขอ “บริกร” ความเห็นนอกทำเนียบฯ โดยไม่ต้องร้องขอ

“วิธีการที่ดีที่สุดคือจะทำอะไร หลังคุณต้องพิงฝาเอาไว้ ถ้าจะซวย ทำผิด ก็ผิดเพราะเขาแนะนำ อย่าผิดเพราะคิดเองเออเอง คิดเร็วทำเร็ว ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอดมาได้ (คดีมาบตาพุด) ก็เพราะทำตามความเห็นของกฤษฎีกา ถ้าคิดเองทำเองก็ติดคุกเองแล้ว เพราะคุณทำโดยที่ไม่รู้ว่าพลาด”

“ผมมานั่งนึกดู ขนาดสมัยคุณทักษิณไม่มีบทบัญญัติในเรื่องนี้ ยังโดนขนาดนี้เลย จุดอ่อนของรัฐบาล “ทักษิณ” คือเป็นคนคิดไวทำไว พอคิดปุ๊บก็ทำปั๊บ แล้วก็ผิด ตอนทำไม่มีใครบอกว่าผิด แต่พอวันหนึ่งมีเรื่อง ทุกคนก็ย้อนกลับไปว่าผิด ผมไม่อยากให้รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” มาเจอปัญหาแบบเดียวกัน ทำอย่างไรจะทำให้มันถูกเสียแต่แรก และปิดทางในการบอกว่าผิด ที่แล้วมาเป็นบทเรียน”

ถือเป็นบทเรียน “ทักษิณ” ถึง “ยิ่งลักษณ์”

เป็น “กฤษณาสอนน้อง” เวอร์ชั่น “วิษณุ”!!!

Comments

comments