22. วิเคราะห์แผ่นดินกรุงศรีตอนปลาย

๒๒. วิเคราะห์สถานการณ์สมัย
แผ่นดินกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
ปรับปรุงเมื่อ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๕

มองอดีตมาวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจปัจจุบัน
ข้อแรก สถานการณ์ดังกล่าว อาจเกิดขึ้นได้จริง
ข้อที่ ๒ สถานการณ์ดังกล่าว อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
เมื่อเงื่อนไข ปัจจัย และตัวแปรต่างๆ ผันแปรไปตามสถานการณ์
ข้อที่ ๓ สถานการณ์ดังกล่าว อาจเกิดขึ้นจริง แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นวิกฤต
หรือเกิดขึ้นจริง แต่รุนแรงเกิดกว่าที่คาดคิด
เรามาวิเคราะห์ดูว่า เหตุใดสถานการณ์บ้านเมืองยามนี้
คล้ายช่วงเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒

ก่อนอื่น ผมมั่นใจจากข้อมูลต่างๆ ว่า
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มิใช่กลับชาติมาเกิดเป็น “ใคร” บางคนดังที่เป็นข่าว
ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้
๑. เจ้าตากเสมือนเพชรน้ำเอก เพชรแท้ย่อมทนต่อการเจียระไน
จะถูกสาดโคลนใส่ร้ายป้ายสีแค่ไหน เพชรก็คือเพชรอยู่วันยังค่ำ
โดนทุบโดนตีจนน่วมแค่ไหนก็ไม่หวาดหวั่น ไม่เกรงกลัวคนไม่จริง
เจ้าตากเป็นคนจริงย่อมมีน้ำอดน้ำทนต่อการติฉินนินทาใส่ร้ายป้ายสี
ย่อมไม่หวาดหวั่น กลัวเกรง หรือกริ่งเกรงต่อคำพูดฉ้อฉล พูดความจริงไม่หมด พูดแค่ครึ่งเดียว
โป้ปดมดเท็จหมิ่นประมาท ย่อมกล้าหาญที่จะใช้ความจริงเข้าสู้
พร้อมพิสูจน์ความจริงได้ทุกระดับชั้นของกระบวนการยุติธรรม
ตั้งแต่ชั้นตำรวจ อัยการ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ จนถึงศาลฎีกา จะที่ไหนก็ได้ในโลก
และย่อมพร้อมต่อการลุยไฟ ทองแท้ไม่หลอมละลาย
เกิดหนเดียว ตายหนเดียว ไม่ทำให้คนอื่นๆ บาดเจ็บล้มตายเสียหายกับผลกรรมตนเอง
เหมือนใครบางคนที่สังคมส่วนหนึ่งหลงเข้าใจผิด
๒. น้ำพระทัยของเจ้าตาก
๓. คุณธรรมของเจ้าตาก
๔. บุญวาสนาบารมี และดวงชะตาของเจ้าตาก
๕. คนที่ชะตาเป็นถึง “มหาราช” เป็นถึง “โอรสสวรรค์”
ฟ้าดินมิอาจดูดาย หรือทอดทิ้งให้เดียวดาย จนอับจนหนทางดัง “ใคร” บางคน!!!
๖. เจ้าตาก มิได้ “มักใหญ่ใฝ่สูง ทะเยอทะยาน” เหมือนใครบางคน!!!
๗. จิตวิญญาณของเจ้าตากคือ “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์”
๘. ผู้มีบุญ ย่อมมีลักษณะโดดเด่นคือ “ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” และผลบุญย่อมปกปักรักษา
มิให้สิ้นไร้ไม้ตอก อับจนหนทาง
๙. สำคัญที่สุด มหาราชทั้งหลาย “ไม่ทำให้ใครเจ็บ ไม่ทำให้ใครตาย” พร้อมที่จะเป็นผู้รับผิดแต่เพียงผู้เดียว !!!
ส่วนความชอบ ให้ประชาชนและประเทศชาติ ได้ประโยชน์สูงสุด!!!

ครั้งที่กรุงศรีอยุธยาแตกเป็นครั้งที่ ๒ ชาวไทยแตกสามัคคี แบ่งเป็นก๊กต่างๆ หลายก๊ก ก๊กเจ้าพระฝาง ก๊กเจ้าพิมาย
ก๊กเจ้านครศรีธรรมราช ก๊กเจ้าตาก ฯลฯ คราวนั้นคนไทยเสียชีวิตประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน ที่เหลือถูกกวาดต้อนเป็นเชลยที่พม่า นับเป็นสงครามที่มีการเสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย และเป็นเหตุการณ์ที่คนอยุธยาไม่คิดว่าจะเกิด ก็เลยไม่เตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมพร้อมรับกับสถานการณ์ที่เกิด (เหมื่อนช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ทุกคนก็คิดว่า อาจเกิด อาจไม่เกิด หรืออาจเกิด แต่ไม่รุนแรง แต่สุดท้ายเกิดขึ้นแล้ว รุนแรงกว่าที่คาด เสียหายเกินกว่าที่คิด)

– ถ้าอยุธยาไม่มีพระเจ้าตาก ก็จะไม่มีกรุงธนบุรี ไม่มีกรุงรัตนโกสินทร์ในวันนี้ และอาจไม่มีคนไทยเหลืออยู่ในโลกนี้ คนไทยอาจกลายเป็นชนกลุ่มน้อย เหมือนชาวมอญ ที่เคยครองพื้นที่ที่เป็นประเทศพม่าแต่โดนพม่ายึดครองไปได้ กรุงหงสาวดีของมอญเหลือแต่เถ้าถ่าน ไม่เหลือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ที่จะมากู้ชาติ ทหารพม่าหนึ่งคนจะข่มขืนสตรีชาวมอญกี่คนก็ได้เพื่อให้เกิดลูกเชื้อสายพม่า ตามแผนกลืนเผ่าพันธุ์

– เหตุที่พระเจ้าตากต้องหนีออกจากอยุธยา เพราะได้สั่งให้ยิงปืนใหญ่ใส่พม่า แต่ในขณะนั้น กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ทรงลุ่มหลงนางสนมจนสั่งว่าใครจะยิงปืนใหญ่ต้องทำ เรื่องขออนุมัติก่อน แต่ในทางปฏิบัติ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะรออนุมัติก่อน
สำคัญที่สุดคือ เกิดสภาพ “สั่งไม่ได้” ไม่รู้อำนาจที่แท้จริงอยู่กับใคร

– ตลอดเวลาครองราชย์ 15 ปี มีเพียงปีเดียวที่เว้นจากศึกสงคราม พระองค์จึงมิได้ทรงมีเวลาพักผ่อนพระราชหฤทัยเช่นผู้นำทั้งหลาย ต้องวางแผนการศึกและบริหารราชการจนรุ่งสาง พระราชวังมิได้ใหญ่โต สถานที่บรรทมเป็นเพียงเก๋งจีนเล็ก ๆ กำแพงพระราชวังก็เป็นเพียงคันดิน เพราะขณะนั้นท้องพระคลังว่างเปล่า ขนาดจะซื้อหินมาทำกำแพงพระราชวังยังไม่มี แต่พระองค์ก็ทรงมีพระเมตตาไม่เก็บภาษีจากประชาชน เพราะทรงเห็นว่าประชาชนยากลำบากพออยู่แล้ว

– ตลอดเวลาของการทำศึก พระองค์ทรงเสด็จออกนำหน้าทุกครั้งแม้ว่าจะเสี่ยงต่อลูกกระสุน แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ และสื่อให้รู้ว่าพระองค์ทรงมีความรักบริวาร ผูกพันกับเหล่าทหารและพร้อมจะสละพระชนมชีพแบบว่า “ไปไหนไปด้วย ตายไหน.ตายด้วย อิ่มก็อิ่มด้วยกัน อดก็อดด้วยกัน” จึงทำให้ทรง “ได้ใจ” ของเหล่าทหาร และบริวาร

– ทรงกอบกู้เอกราชโดยใช้เวลาเพียง 7 เดือน ด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกันจากหลากหลายก๊กที่แตกความสามัคคี แต่ด้วยพระบารมี ก็สามารถ
ทรงหลอมใจไทเป้นหนึ่งเดียว ร่วมกันกู้ชาติ ทั้งไท ทั้งเทศ ทั้งนานาชาติ ร่วมกันรบ รวมใจเป็นหนึ่ง ทั้งพระสงฆ์องค์ชี ต่างร่วมพลังเป็นหนึ่ง
ประเทศเพื่อนบ้านต่างก็ช่วยเหลือ ทั้งลาว จีน ญวน เขมร มอญ แขก ฝรั่ง ญี่ปุ่น ทุกชนชาติ ทุกเชื้อชาติ ทุกสัญชาติ ช่วยเจ้าตากกู้ชาติหมด

– ทรงฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 ปี เนื่องด้วยพระองค์ทรงมีเชื้อสายจีน จึงทรงวางแผนการค้า ส่งเรือสำเภานำสินค้าไทยไปขายยังเมืองจีน นำรายได้จากนั้นมา ถ้าเที่ยวกลับมีเรือว่างก็ให้แวะซื้อข้าวจากญวนซึ่งราคาถูกใส่ลำเรือกลับมา ด้วย

– พระองค์มิทรงปรารถนาอำนาจและทรัพย์สินใด ๆ การสละราชสมบัติก็เพื่อให้ชาติไทยดำรงสืบต่อไปตลอดกาล เพราะทรงอ่อนล้าจนไม่อาจรับศึกทั้งจากภายนอกและภายใน องค์รัชทายาทก็ไม่ทรงมีความสามารถเท่าที่ควร โดยคาดว่าพระองค์ได้คาดหวังจะมอบพระราชอำนาจให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ ศึก (ต่อมาเป็นรัชกาลที่ 1)อยู่แล้ว โดยดูได้จากหลายเหตุการณ์

– ปลายรัชสมัย ได้มีกบฏพระยาสรรค์โค่นล้มราชบัลลังก์ ซึ่งพระองค์จะต่อต้านก็ย่อมทำได้เพราะเปรียบกองทัพแล้วเหมือนช้างกับมด แต่พระองค์ทรงห่วงว่าคนไทยจะฆ่ากันเองจึงยอมให้จับแต่โดยดี

– มีตำนานของชาวนครศรีธรรมราชเล่าว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมิได้ถูกสำเร็จโทษ แต่ทรงผนวชและลงเรือเสด็จไปประทับที่ถ้ำวัดเขาขุนพนม เมืองนครศรีธรรมราชดังที่เคยตั้งพระทัยไว้

– เหตุที่ให้ออกข่าวว่าสวรรคตเพื่อให้หัวเมืองใหญ่น้อยได้รู้ว่าไทยมีการผลัด เปลี่ยนอำนาจอย่างสมบูรณ์โดยไม่เกิดสงครามกลางเมือง มิฉะนั้นหัวเมืองต่าง ๆ จะแข็งข้อและยกทัพมาตีแน่นอน

– จริงอย่างที่คาด หลังจากสมัยพระเจ้าตากสิน พม่ายกทัพมาตีไทยถึง 9 ทัพซึ่งเป็นทัพที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งหากไม่ใช่รัชกาลที่ 1 เป็นกษัตริย์คงยากที่จะรักษาไทยไว้

ที่มา: ตำนานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

ส่วนวิเคราะห์เพิ่มเติม
– ขอตั้งข้อสังเกตสำหรับผู้ชอบแนวประวัติศาสตร์ว่าไม่ค่อยมีคนศึกษาวิเคราะห์ เชิงลึกว่า แท้ที่จริง ความจริงแล้ว พระเจ้าตาก อีกสถานะ ยังมีศักดิ์ เป็น “ลูกเขย” ของรัชกาลที่ ๑ จริงหรือไม่? เพราะเหตุใดจึงมีความสัมพันธ์เช่นนั้น? และหลานรักของรัชกาลที่ ๑ คือ “เจ้าฟ้าเหม็น” เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขเจ้าตากที่เหลือรอดจากโทษประหาร ๗ ชั่วโคตรจริงหรือไม่?

จากบันทึกในประวัติศาสตร์ เราจะพบว่าพระเจ้าตากสินมหาราชนั้นเคยมีพระราชปณิธานแน่วแน่ว่า

“บุคคลผู้ใด เป็นอาทิ คือ เทวดา บุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์ มากระทำ ให้ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้ผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจตัดบริจาคให้แก่ผู้นั้นได้ ความกรุณาเป็นสัตย์ฉะนี้”

ดังนั้นในช่วงใกล้วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ แม้ทหารที่จงรักภักดีจะพร้อมพลีชีพเพื่อพระองค์ แต่ก็มีพระราชดำรัสว่า

“สิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย”

พระองค์ถูกสำเร็จโทษเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕ พร้อมกับเชื้อพระวงศ์และขุนนางกว่า ๑๕๐ คน รวมถึง พระยาพิชัยดาบหักด้วย
คำถามคือ “จริงหรือไม่?” ถ้าจริง มีประจักษ์พยานวัตถุ พยานบุคคล พยานเอกสาร และพยานหลักฐานน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด และแค่ไหน? คำตอบคือ ยังเป็นประเด็นคลุมเครือทางประวัติศาสตร์

แต่ต้องยอมรับความจริงว่าช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นการกวาดล้างขจัดเสี้ยนหนามทางการเมืองแบบนองเลือดมากที่สุดหนหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย

การปราบดาภิเษกสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ขึ้นเป็นรัชกาลที่ ๑ แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้น สมเด็จพระอนุชาในรัชกาลที่ ๑ ทรงกราบทูลความตอนหนึ่งดังมีบันทึกไว้ว่า
“กรมพระราชวังบวรสุรสิงหนาท (บุญมา- น้องชายรัชกาลที่ ๑ ) เสด็จลงมาเฝ้า กราบทูลว่าบรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน (โดยเฉพาะเจ้าฟ้าเหม็น) จะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า”

คำถามเป็นปริศนาคือเจ้าฟ้าเหม็น และบุตรชายน้อยๆ ของพระเจ้าตากอีกหลายคน ทำไมไม่ถูกประหาร ทั้งที่ได้รับคำ “แนะนำ” แกมบังคับเช่นนี้ ทำไมจึงรอดมาได้จนถึงสิ้น “พระเจ้าตา” คือรัชกาลที่ ๑ จึงหมดบุญหมดวาสนา ด้วยถูกใส่ร้ายจากการ “ทิ้งหนังสือ” ???

และตามประวัติศาสตร์ “บอกเล่า” เรื่องเล่าต่อๆ กันมาตระกูลนั้นตระกูลนี้ พบว่ามีเชื้อสายเจ้าตากเหลืออีกหลายชีวิต เช่น “เจ้าพระยานคร (น้อย)” แห่งเมืองนครศรีธรรมราช ต้นตระกูล “ณ นคร” จริงหรือไมถ้า เรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นความจริง แสดงให้เห็นว่า “พระเจ้าตากสินมหาราช” กับ “พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ก็ย่อมจะมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน และน่าจะมี untold story ภารกิจลับเพื่อชาติบางประการ คำถามคือ ภารกิจลับดังกล่าวคือเรื่องอะไร?
เรื่องแต่งทูตให้ไปขอลูกสาวพระเจ้ากรุงจีน? หรือเรื่องขอยืมอาวุธเพื่อนำมาใช้กู้ชาติ? หรือเรื่องขอสนับสนุนทุนในการกู้ชาติบ้านเมือง? หรือเรื่องอื่นๆ ? ที่ประวัติศาสตร์ไทยมิได้บันทึกไว้ แต่มีบันทึกปรากฏในภาษาฝรั่งเศส ญวน จีน ใช่หรือไม่?
น่าสงสัยคือ “ประวัติศาสตร์” บางช่วง ได้หายไปเฉยๆ อย่างไร้ร่องรอย จึงคงเป็นปริศนาให้ศึกษาวิเคราะห์เชิงลึกว่า เพราะเหตุใดเจ้าตากจึงเป็น “ลูกเขย” ของรัชกาลที่ ๑ ? และเพราะเหตุใดจึงเกิดการเปลี่ยน “แผ่นดิน” ระหว่างกรุงธนบุรีมายังกรุงรัตนโกสินทร์จากสับสนอลหม่าน แต่แล้วหลังจากเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกลับจากกัมพูชา เพราะเหตุใดสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังร้อนรุ่ม จึงสงบราบเรียบ? เป็นเพราะด้วยบุญญาธิการ และ
ด้วย พระปรีชาญาณล้ำลึกของรัชกาลที่ ๑ กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ จึงสถิตสถาพรยั่งยืนยาวนานกว่า ๒๐๐ ปี ใช่หรือไม่? ทำไมเราจึงลืมนึกถึงบุญคุณของ “รัชกาลที่ ๑” ???

คำถามข้างต้นนี้ เป็นประเด็นวิจัยการศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ได้อีกหลายเล่ม น่าสังเกตว่า บทวิเคราะห์ความสัมพันธ์
ระหว่าง “พระเจ้าตากสินมหาราช” กับ “พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” มีน้อยชิ้นมาก

ลางที ถ้าได้ศึกษาเรื่องนี้แบบเชิงลึก เราอาจได้รับคำตอบที่ “คาดไม่ถึง” อีกหลายเรื่อง ก็เป็นได้ ???

Comments

comments