16.บูรณาการไม่เป็น เชื่อมโยงไม่ได้ จะชนะได้อย่างไร?

บทความพุทธชยันตี ๒,๖๐๐ ปี
บูรณาการไม่เป็น เชื่อมโยงไม่ได้
จะชนะได้อย่างไร?
 Prof. Dr. Uthit Siriwan


ภาพเป็นข่าว: ซ้าย พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต ป.ธ. ๗, พธ.บ. (ปรัชญา) เกียรตินิยมอันดับ ๑ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย,  สังคมสงเคราะห์ศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(เกิดที่ชัยภูมิ  ๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๑ : อายุ ๓๔ ปี)
ขวา ท่าน ว. วชิรเมธี (พระมหาวุฒิชัย วรเมธี) ป.ธ. ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๓) สำนักเรียนวัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ, ศษ.บ. มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช (ในปีเดียวกัน), พธ.ม. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (พ.ศ. ๒๕๔๖)
(เกิดที่เชียงราย ๒๖ มกราคม ๒๕๑๖: อายุ ๓๙ ปี)
พระทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาแบบนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สมควรยกย่องให้เป็น “เจ้าฟ้า” “เจ้าคุณฯ”
เพื่อทำคุณประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาไว้ให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่ต้องให้ท่านขอฯ ต้องจัด “ถวาย” จะได้เป็นขวัญ กำลังใจ
อยู่ทำงานพระพุทธศาสนาต่อไป

ภาพเป็นข่าว: ศาสตราจารย์พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ (ราชบัณฑิต) เยี่ยมชมวัดไทยลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา
ท่านอาจารย์จำนงค์ เป็นครูบาอาจารย์ของพวกเราเหล่าชาว มจร. เคารพ นับถือ ยกย่อง ในความ “เป็นเลิศ” “เป็นปราชญ์”
ที่หาได้ยาก

ท่านอาจารย์เป็นคนแรกที่ต่อสู้กับการเรียนแบบ “เถื่อนๆ” โดยสมัยที่จบ ท่านใช้วุฒิ พธ.บ. ที่สกอ. ไม่รับทราบ กระทรวงศึกษาธิการไม่รับรอง สำนักงาน ก.พ. ก็ไม่รับรองซ้ำอีก (สมัยนี้ก็ว่าวุฒิเถื่อน)
แต่ Yale University, USA รับรอง ก็เลยเรียนต่อจนจบปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยเยล
ต่อมาด้วยวุฒิจาก USA ที่ไทยเห่อ และรับรอง ท่านก็ได้มาเป็นอาจารย์สอนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มจร. ฯลฯ (ทั้งที่ ป.ตรี ยังเป็นวุฒิเถื่อน แต่ ป.โท ไม่เถื่อน)
แล้วท่านก็ได้เป็นราชบัณฑิต ส.ว. ฯลฯ ได้อ่านผลงานปั้นคนเป็น “ศาสตราจารย์” หลายมหาวิทยาลัย
ส่วนขวามือ คือ ท่านพระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ. ๙ เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส
รูปนี้ก็ยืนหยัดทำงานเพื่อพระพุทธศาสนายาวนาน สมควรที่สมัชชาสงฆ์แห่งสหรัฐอเมริกา จะอวยยศอวยศักดิ์ให้เป็น
“ท่านเจ้าคุณ” ด้านการประชาสัมพันธ์  ปกป้อง และคุ้มครองพระพุทธศาสนา อย่างต่อเนื่องและจริงจัง โดยไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์

พรุ่งนี้ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕ คือวันวิสาขบูชา
ปีนี้เป็นปีพิเศษ นอกจากจะเป็นวันวิสาขบูชาแล้ว
ปีนี้ยังเป็นปีแห่งมหามงคลสมัย
เนื่องในเทศกาลฉลอง ๒,๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

ผมอยากนำประสบการณ์บางเรื่องมาเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะประสบการณ์ทำงานกับองค์การด้านพระพุทธศาสนา

วันนี้ คณะสงฆ์ไทย นำโดยมหาเถรสมาคม ประกอบด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ จากสงฆ์ ๒ นิกายคือ มหานิกาย และธรรมยุติกนิกาย
องค์กรรับใช้เดิมมีองค์กรเดียวคือ “กรมการศาสนา” แต่ภายหลัง ได้แยกกันปกครองเป็น ๒ ฝ่าย
ฝ่ายแรกคือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ อีกหน่วยงานคือกรมการศาสนา สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม

สำนักพุทธฯ เป็นหน่วยงานไม่สังกัดกระทรวงใดๆ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
มีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินงานสนองงานคณะสงฆ์และรัฐโดยการทำนุบำรุง ส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา ให้การอุปถัมภ์ คุ้มครองและส่งเสริมพัฒนางานพระพุทธศาสนา ดูแล รักษา จัดการศาสนาสมบัติ พัฒนาพุทธมณฑลให้เป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา รวมทั้งให้การสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาบุคลากรทางศาสนา

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แบ่งหน่วยงานภายในออกเป็น 12 หน่วยงาน ได้แก่
กลุ่มงานพัฒนาระบบบริหาร
กลุ่มงานตรวจสอบภายใน
กองกลาง
กองพุทธศาสนศึกษา
กองพุทธศาสนสถาน
สำนักงานพุทธมณฑล
สำนักงานศาสนสมบัติ
สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม
ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ
กองพุทธสารนิเทศ
สถาบันพัฒนาพระสังฆาธิการ
สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด 75 จังหวัด

ในอดีตที่ผ่านมาการศาสนา และการศึกษา จะดำเนินควบคู่กันมาโดยตลอด ซึ่งในอดีตนั้นงานด้านการศาสนา จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “กระทรวงธรรมการ” ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 2484 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม จึงเปลี่ยนชื่อกระทรวงธรรมการ เป็น “กระทรวงศึกษาธิการ” และมีการจัดตั้ง “กรมการศาสนา” ขึ่น

จนกระทั่งปี พ.ศ. 2545 ได้มีการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง ทบวง กรมอีกครั้งหนึ่ง จึงมีการแบ่งส่วนราชการของกรมการศาสนาเดิม ออกเป็น 2 ส่วน คือ กรมการศาสนา สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นหน่วยงานขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ส่วนกรมการศาสนา เป็นส่วนราชการระดับกรม สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม มีหน้าที่การดำเนินงานของรัฐด้านศาสนา โดยการทำนุบำรุงส่งเสริมและให้ความอุปถัมภ์คุ้มครองกิจการศาสนาพุทธและศาสนา อื่นๆ ที่ทางราชการรับรอง (ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์) ตลอดจนส่งเสริมพัฒนาความรู้คู่คุณธรรม ส่งเสริมความเข้าใจอันดี และสร้างความสมานฉันท์ระหว่างศาสนิกชนของทุกศาสนา รวมทั้งดำเนินการเพื่อให้คนไทยนำหลักธรรมของศาสนามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตให้เป็นคนดีมีคุณธรรม

กรมการศาสนา มีหน่วยงานภายใน 3 หน่วยงาน ได้แก่
สำนักงานเลขานุการกรม
กองศาสนูปถัมภ์
สำนักพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม

ปัญหาสำนักพุทธฯ และกรมการศาสนาในวันนี้คือ “ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำ” กรมการศาสนา โตเอาๆ ส่วนสำนักพุทธฯ กลายเป็นบอนไซ

ตัวปัญหาคือการ Divided and Rule แบ่งแยกกันปกครอง วิเคราะห์ว่าน่าจะเป็นความ “แยบยล” ของใครบางคน
ที่ต้องการให้ “สถาบันศาสนาพุทธ” ซึ่งเป็น ๑ ใน ๓ เสาหลัก อ่อนแอ
พวกที่ต้องการทำลายความมั่นคงของชาติสยาม/ไทย มีอยู่จริง คนกลุ่มนี้ ทำงานกันแบบฉ้อฉล แยบยล ซ้อนกล แนบเนียน
เริ่มจากทำลายสถาบันศาสนา จากนั้นก็ทำลายสถาบันชาติ ให้หน่วยงานรัฐต่างๆ อ่อนแอ แล้วก็ทำลายสถาบันกษัตริย์
เมื่อ ๓ สถาบันอ่อนแอ การบ่อนทำลาย การแทรกซึม การเปลี่ยนคนทั้งประเทศก็ทำได้ง่าย ทำได้เร็ว ทำได้สำเร็จ
และทำได้ผลมาแล้วหลายสิบประเทศ !!!

สำคัญคือ พวกเราต้อง  “รู้ทัน”  ความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ และรวมตัว รวมกลุ่มกัน ต่อต้าน และป้องกัน
น่ายินดีว่าเรายังมีคนอย่าง พลเอกธงชัย เกื้อสกุล พระเทพวิสุทธิกวี (เกษม สญฺญโต) วัดราชาธิวาส กองอนุศาสนาจารย์
และศูนย์พิทักษ์ รวมถึงศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ยังรวมตัวกันทำงาน

ปัญหาสำคัญคือ “การบริหารจัดการ” เป็นปัญหาเดิมๆ ขององค์การภาครัฐ ที่ “แย่งกันคิด  แย่งกันทำ”
ผมมองว่าในอนาคต แนวโน้มสูงที่จะเกิด “กระทรวงศาสนา และวัฒนธรรม” เพราะวันนี้ผลจากการที่วุฒิสภา
แบ่งแยก ๒ องค์กรรับใช้พระสงฆ์ ทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่รู้จบสิ้น ทั้งการส่งเสริม อุปถัมภ์ และคุ้มครอง

วันนี้ ถ้าเรายังปล่อยให้มหาเถรสมาคมขับเคลื่อนโดยสำนักพุทธฯ และกรมการศาสนา ที่ตกอยู่ในสภาพ
ง่อนแง่น ง่อยเปลี้ย เสียแขน ข้าราชการขวัญระส่ำ ไม่เป็นอันทำงาน อ้างโน่น อ้างนี่
ได้เห็น ได้รู้ ได้สัมผัสแล้ว เกิดความรู้สึก  “ว้าเหว่”  “วังเวง”

ถึงเวลาแล้วที่พวกเราชาวพุทธ จะต้องช่วยกัน “คิด” ช่วยกัน “ทำ” เพื่อให้สถาบันศาสนาของเรา เข้มแข็ง และมั่นคง

องค์การสงฆ์วันนี้ มีปัญหาทั้งเรื่องคน เรื่องเงิน เรื่องงาน เรื่องเครื่องมือ และเรื่องระบบทำงาน วิธีคิด วิธีบริหารจัดการ

แต่น่าแปลก ไม่มีการแก้ไขปัญหา มองว่า untouchable ทั้งที่ผมเองมองว่า “Higly Risk”
ถ้าเป็นหุ้น ก็อยู่ในระดับ “Risky” เสี่ยงสูงที่จะ “Default” จมดิ่งสู่มหาสมุทรเวิ้งว้าง ท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาล
ตกสู่หลุมดำมืดมิด  ถ้าเป็นระบบ “แกแลกซี” ของสุริยจักรวาล ยานคือองค์กรสงฆ์ กำลังถูกขับเคลื่อนเข้าสู่ “หลุมดำ”
ในอวกาศ ที่ “น่ากลัว” เพราะเราไม่ “ซ่อมแซม” “ปรับปรุง” ปีกซ้ายขวาคือ สำนักพุทธฯ และกรมการศาสนา ให้กลับดีดังเดิม
ให้อยู่ในระบบ “ใช้การได้” ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

ก่อนอื่น ผมขอขอบคุณ “พี่เกื้อ” พลเอกธงชัย เกื้อสกุล นายกสมาคมศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
ที่เปิดโอกาส ขยายโอกาส และทำให้ผมได้มีโอกาสทำงานในฐานะ “อนุกรรมาธิการ” ในคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา กรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา

ประสบการณ์กว่า ๑ ปี ผมได้แง่คิดดีๆ หลายเรื่องจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน
เริ่มจาก ท่านประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา “ท่านธีระ สุวรรณกุล”
ชีวิตท่านเติบโตมาจากสาย “สถาปนิก” วันทั้งวันนั่งทำงานออกแบบ เขียนแบบ “มหาเจดีย์วัดธรรมมงคล”
จบสถาปัตย์ปริญญาตรีที่ศิลปากร โทที่ Syracuse จากรัฐนิวยอร์ก
หลังจากนั้นก็กลับมาทำงานในวัดตลอด จนวันหนึ่ง “บุญถึง วาสนาถึง” ก็ได้ยกระดับ ยกสถานะเป็น ส.ว.

ประเด็นล่าสุดผมเพิ่งคุยกับท่านธีระ สุวรรณกุล ท่านวุฒิสมาชิก จากรัฐสภา  เราถกปัญหากันว่า ปัญหาประเทศชาติคือ “ระบบ” ท่าน สว. อยู่อิตาลีหลายปี ส่วนผมก็อยู่อเมริกามานาน


ภาพ: ท่าน ส.ว. ธีระ สุวรรณกุล
ประธานคณะอนุกรรมาธิการส่งเสริมกิจการพระพุทธศาสนา
กรรมาธิการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา

เราพบคำถามตรงกันโดยบังเอิญว่า สังคมไทยมีปัญหาที่ “ระบบ”  เป็นระบบที่องค์การต่างๆ ขาดการบูรณาการ เชื่อมโยงกันไม่ได้ อาการ “คนไม่คุย คอมพ์ไม่ลิงก์”  แล้วประเทศชาติจะเดินหน้าได้อย่างไร?

การแก้ปัญหาองค์กรที่สนับสนุนพุทธศาสนาเป็นทางการทั้ง ๒ แห่ง ต้องเปิดรับ “น้ำใหม่” คลื่นลูกใหม่ ที่ “เก่ง และดี”
ฉ้อฉล ไม่เอา คดโกง ไม่เอา ต้องโปร่งใส ซื่อสัตย์ ตรวจสอบประวัติได้
ที่สำคัญ ต้องทนทาน อึด และอด สามารถทำงานกับคนในระบบเก่าๆ และนำพาองค์กรเจริญรุดหน้าได้
สำหรับผม เชื่อว่า “กรุงศรีอยุธยา ไม่สิ้นคนดี” คนดีคนเก่ง ผมพบเห็นเยอะมาก แต่หลายคน ไม่อยากเข้าสู่องค์การภาครัฐ
เบื่อกับ “ระบบ”  ขนาดผมเองยัง “เบื่อ” เลย นับประสาอะไรกับคนอื่นๆ ที่เป็นคนเก่ง คนดี รอบตัว

สองสามวันก่อน ผมใช้โปรแกรม SKYPE พูดคุยเรื่องวิชาการกับการจัดการธุรกิจกับเพื่อนสนิทกัน คือ Prof.Dr. Chan Graduate School of Business, California State University at Fullerton

เพื่อนผมคนนี้สอนหนังสือ ทำวิจัย และทำธุรกิจระหว่างประเทศอยู่ที่เมืองฟูลเลอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย

ประวัติน่าทึ่งคือเรียนหนังสือเก่ง จบตรีด้านกฎหมาย แต่กลับไปเอาดีด้าน “การจัดการเชิงกลยุทธ์” และคว้าปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจได้สำเร็จจากมหาวิทยาลัยเท็กซัส ณ เมืองออสติน

อีกคนคือ Dr. Mike Ha รายนี้ล่าสุดเป็นอาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล สอนประจำที่แคมปัสเมืองซูโจว และปักกิ่ง

นอกจากนี้ยังเป็นอาจารย์พิเศษ  SKEMMA Business School มหาวิทยาลัยระดับ AACSB ติดอันดับ 9 ของโลกด้านการจัดการ

และยังมีงานภาคเอกชนโดยเป็นผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ “คณิตศาสตร์ประกันภัย” และเป็นเซียนหุ้นระดับ “เทพ” ในตลาดหลักทรัพย์แห่งมหานครเซี่ยงไฮ้

รายนี้ก็เป็นอีกคนที่เก่ง เกิดที่ฮ่องกง เติบโตที่ออสเตรเลีย เรียนที่อังกฤษ จบที่แคนาดา ทำงานที่สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน รวมถึงเมืองไทย พูดได้ไม่น้อยกว่า 5 ภาษา

ผมมีข้อสังเกต และพบว่า ถ้าเราจะหา “คน” ที่เป็น “ผู้นำ” ในสังคมไทยต้องหาคนที่ “บูรณาการเป็น” และ “เชื่อมโยง” ให้ได้
สำหรับสำนักพุทธฯ และกรมการศาสนา ต้องประกาศรับสมัคร หาคนมารับใช้พระ สนองงานพระสงฆ์ โดยเป็นคนที่

 1.ต้องพูดให้ได้อย่างน้อย 2 ภาษาขึ้นไป
2.ต้องเป็นนักเรียนนอก หรืออย่างน้อยต้องเรียนจบมหาวิทยาลัยเมืองนอก หรือเข้าใจวัฒนธรรมต่างชาติ
3.ต้องเคยทำงานองค์การภาครัฐภาคเอกชนในระดับนานาชาติ
4.ต้องกล้าเผชิญและสามารถแก้ปัญหาได้ โดยเฉพาะปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการ
5.ต้องมีวิธีคิด วิธีทำงาน ที่แตกต่างจากวิชาชีพด้านอื่นๆ เป็นเอกลักษณ์ อัตลักษณ์เฉพาะตัว
6.ต้องปรับตัว รับการเปลี่ยนแปลง ทันที ทันใด ทันใจ ทันเหตุการณ์ ทันท่วงที
7. ต้องเป็นพุทธแท้ เชี่ยวชาญปริยัติ ชำนาญปฏิบัติ และมากด้วยประสบการณ์ทั้งทางโลกทางธรรม
8. ต้องเป็นคนมีประวัติโปร่งใส ตรวจสอบได้ ซื่อสัตย์ ไม่ฉ้อฉล ทุจริต ยักยอก กินสินบาด คาดสินบน
9. ต้องเป็นคนคิดแต่จะให้ มีน้ำใจ เสียสละ 

คนเก่งและดีแบบนี้ มีให้เห็นรอบตัว อาทิ ท่านส.ว. ธีระ สุวรรณกุล คุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย  อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์  ศ. (พิเศษ) ดร. สาคร สุขศรีวงศ์ คุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ฯลฯ
และยิ่งถ้าตั้งที่ปรึกษาที่เก่งๆ ได้ เช่นได้ท่าน มิ ตซูโอะ คเวสโก  ท่าน ว. วชิรเมธี  ท่านมหาสมปอง ตาลปุตฺโต พระเดชพระคุณ พระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต ดร. พระมหาสมชาย ฐานวุฑฺโฒ ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
หรือพระราชธรรมวาที (ท่านเจ้าคุณชัยวัฒน์ ชยวฑฺฒโน) รวมทั้งหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร วัดธรรมมงคล  ท่านเจ้าคุณอลงกต วัดพระบาทน้ำพุ และหลวงพ่อสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดพิชยญาติการาม และหลวงพ่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ
ยิ่งถ้ามีพระพรหมวชิรญาณ วัดยานนาวา และหรือท่านเจ้าคุณแย้ม วัดไร่ขิง หลวงพ่อสะอิ้ง วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี   หลวงพ่อวสันต์ วัดพยัคฆาราม ศรีประจันต์ สุพรรณบุรี เป็นที่ปรึกษา ให้คำแนะนำ ในการทำงานสนองกิจการคณะสงฆ์
การพระพุทธศาสนา ก็จะเจริญรุดหน้า รวดเร็ว แบบว่า Faster Model
แต่ Dream Team แบบนี้ จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่  อยู่ที่ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะคัดสรรใครมานั่งในตำแหน่งสำคัญคือ ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม สุกมล คุณปลื้ม จะเลือกใครมาเป็นอธิบดีกรมการศาสนา

การ ประชาสัมพันธ์เชิงรุก ถ้าได้  คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย บวกกับ “พระมหานรินทร์ นรินฺโท ป.ธ.๙” เจ้าอาวาสวัดไทยลาสเวกัส นครลาสเวกัส เจ้าของนามปากกา  “ปี้ส่าง”  เจ้าพ่อสื่อสารมวลชนชื่อดังแห่งเว็บไซต์ www.alittlebuddha.com
ช่วยวางแผน ทำพีอาร์ ประชาสัมพันธ์ แถลงข่าว จะยิ่งโด่งดังทะลุฟ้า
สะท้านโลกันต์

แต่ที่เห็นและเป็นอยู่สถานการณ์ และการพระพุทธศาสนาทุกวันนี้  ถ้าได้พูดคุยกัน ปี้ส่าง คงส่ายหัว และบอกผมว่า “อ่วมอรทัยเป็นที่สุด”

 
2012-04-04 11:46:34 ปรับปรุง ๔ มิถุนายน ๒๕๕๕

Comments

comments