133. รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

คอลัมน์  How to Win

รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี

ศาสตราจารย์  ดร. อุทิส  ศิริวรรณ

3 กุมภาพันธ์ 2557

———–

“ความดีมีทุกโอกาส ความประมาทจะทำให้พลาดจากความดี
ความดีไม่มีขาย  ใครอยากได้ต้องทำเอง
! ”

พระราชธรรมวาที (ชัยวัฒน์ ธมฺมวฑฺฒโน), หนังสือ ธรรมะสปอตไลต์

               เมืองไทยวันนี้ ใกล้เคียงกับซีเรีย และรัสเซีย ตอนประเทศใกล้ล่มสลายเข้าไปทุกขณะ

บ้านเมืองยามใกล้จะแตก จะเกิดสภาวะ “อกแตก” คนจะแบ่งแยกชิงดีชิงเด่น  ริษยา ขัดแข้ง ขัดขา ขัดแย้ง แข็งข้อ ทะเลาะกันรุนแรง ไม่มีใครฟังใคร ไม่ต้องดูชาติใดให้ไกล ดูแผ่นดินอยุธยาตอนปลายก็พอ

จะพบความคล้ายกันโดยบังเอิญว่า สยามยามจะเสียแผ่นดินนั้น ก็แยกออกเป็น ค่ายบางระจัน ก๊กเจ้าพระฝาง ก๊กเจ้าตาก ก๊กนครราชสีมา ก๊กนครศรีธรรมราช และหัวเมืองตะวันออกคือชลบุรีระยองจันทบุรี

แง่คิดวันนี้คือ ต้องรู้วิชา และรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี ทุกคนต้องถนอมเนื้อถนอมตัวกันเอาไว้

ปัญหาคือ แล้วทำไมเมืองไทยถึงเดือดร้อนวุ่นวายจนถึงขั้นสูงสุดที่ทางฮ่องกงประกาศ เตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังกรุงเทพมหานครและปริมณฑลว่ากลายเป็นพื้นที่ ฉุกเฉิน “สีดำ”

มีความหมายว่ามีภัยร้ายแรงและเตือนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปเด็ดขาด!

สรุปคือ ตอนนี้ ผมอาศัยอยู่ในเมืองที่มีภัยคุกคามในระดับ “สูงที่สุด”

ข่าวพบถุงระเบิด ข่าวโยนระเบิด ข่าวเกิดการยิงกัน สารพัดประเดประดัง ทำให้กรุงเทพฯ วันนี้ เป็นเมือง “มิคสัญญี”

คำถามคือ ทำไมยังใช้ชีวิตกันอยู่ได้? คำตอบคือ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”

เมืองไทยวันนี้ กำลังเปลี่ยนแปลง “ระบบคิด” จากเดิม “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา” ไปเป็น “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี”  อันเนื่องด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว วันต่อวัน นาทีต่อนาที

อะไรที่ไม่คิดว่าจะเกิด ก็เกิดขึ้นได้ อะไรที่ไม่คิดว่าเป็นไปได้ ก็เป็นไปได้

กลยุทธ์สู่ชัยชนะแบบว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ที่น่าสนใจในยามนี้ มีดังนี้

ประการแรก มีความรู้ ในสถานการณ์บ้านเมืองกลียุคยามนี้ ต้องค้นคว้าความรู้ทั้งในห้องเรียน นอกห้องเรียนและสถานการณ์จริงที่เกิดขึ้น ต้องเรียนรู้ที่จะจัดการทรัพย์สินทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” ที่กำลังจะระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ประการที่สอง มีหูตากว้างไกล วันนี้หมดยุค “วิสั้น” คิดอะไรสั้นๆ แคบๆ คิดคนเดียวไม่ได้ ต้องอัพเดตข้อมูลข่าวสารให้ทันสมัยตลอดเวลา ต้องเปิดหูเปิดตาเปิดใจรับฟังสถานการณ์บ้านเมืองทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมการ เมืองและเทคโนโลยี อย่าหยุดและนิ่งอยู่กับที่ มิฉะนั้นจะสะดุดและถูกฉุดให้ยั้งอยู่กับที่

ประการที่สาม มีความคิด ยุคนี้เป็นยุคของ “คนมีความคิด” คนที่คิดเก่ง คิดกว้าง คิดไกล คิดแล้วคลิก คลิกแล้วทำแบบไวไวคลิกคลิก ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ว่องไว คือคนที่ชนะ

ประการที่สี่ มีความรับผิดชอบ ภายใต้สถานการณ์ที่รุนแรงและวิกฤตขึ้นเรื่อยๆ คนเราต้องรับผิดชอบสูง ตรงต่อเวลา ทำได้ดังที่พูด ไม่ใช่พูดชุ่ยๆ พูดส่งเดช พูดไปเรื่อย พูดแล้วไม่รับผิดชอบ นี่คือสิ่งที่น่ากลัวและพบว่ากำลังระบาดไปทั่วทุกวงการ จะทำการใดๆ ต้องระวังคนที่พูดแล้วขาดความรับผิดชอบ

ประการที่ห้ามีความสุขุมรอบคอบ คนที่จะชนะยั่งยืน คือคนที่ละเอียด สุขุม ลุ่มลึก แยกแยะ พิจารณาเหตุและผล ชนะก็เป็นครู พ่ายแพ้ก็เป็นบทเรียน ระมัดระวังมิให้ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ตกอยู่ภายใต้ความประมาท ใช้ชีวิตระมัดระวังตัวทุกเวลานาทีทุกฝีก้าว

สมการ “มีความรู้+มีหูตากว้าง ไกล+มีความคิด+มีความรับผิดชอบ+มีความสุขุมรอบคอบ=ชัยชนะ” อยากชนะยั่งยืน นำหลักคิด 5 ข้อไปใช้ในชีวิตการทำงานดู รับรองผลสำเร็จได้จริงครับ

Comments

comments