119. แง่คิดจากแผ่นดินพระนารายณ์

บทความเชิงประวัติศาสตร์

 

แง่คิดจากแผ่นดินพระนารายณ์

ศาสตราจารย์ ดร. อุทิส ศิริวรรณ

เขียนเมื่อ วันอาทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๖

———————————————–

 

 

เพชรสีฟ้า หรือ Blue Diamond ที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน กรุงวอชิงตันดีซี
น้ำหนักกว่า 50 กะรัต มูลค่าประเมินมิได้ สมบัติพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔
พระสหาย สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

 

แง่คิดจากประวัติศาสตร์

ตลอดระยะเวลาเดินทางไปเยือนทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปอเมริกากลาง และทวีปอเมริกาใต้

ตลอดเส้นทาง ผมได้เห็นการใช้ “ภาษาสเปน” “ภาษาโปรตุเกส” “ภาษาอังกฤษ” และ “ภาษาฝรั่งเศส”
ในการเจรจาติดต่อสื่อสาร

ได้เห็นความพยายามสถาปนา “รัฐอิสลาม” ของกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ตั้งแต่ดูไบ UAE

ได้เห็นความแปลกแยก แตกต่าง และขัดแย้ง ระหว่าง “คริสต์” นิกายสำคัญในอดีตของโลก

ตั้งแต่สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ทรงมีพระราชสัมพันธไมตรีทางการทูตเป็นอย่างดี
กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส

ได้เห็นความพยายามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่จะโน้มน้าวและเกลี้ยกล่อมให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราช
เข้ารีตเปลี่ยนศาสนาเป็น “คริสตัง” นับถือแคทอลิกเช่นเดียวกับพระองค์ให้จงได้

ได้รับรู้เรื่องราวความล้มเหลวของมหาอำนาจคือ “อังกฤษ” กับ “โปรตุเกส” ที่ใช้ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตนแตนท์
เป็นเครื่องมือในการปกครอง “ทาส” ประเทศต่างๆ ทั้งทาสในระบอบอังกฤษและโปรตุเกส

ได้เห็น “บราซิล” ที่ยังคงเป็นทาส “จักรวรรดินิยมโปรตุเกส” จนถึงบัดนี้ และได้เห็นอีกหลายชาติที่ยังตกเป็นทาสใต้อาณานิคม “อังกฤษ”

ผมคิดถึงเรื่องราวของ “มหาบุรุษ” ผู้ยิ่งใหญ่สมัยอยุธยา ๒ พระองค์

พระองค์แรกคือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช อีกพระองค์คือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

น้อยคนนักจักรู้ว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงมีสัมพันธ์การทูตกับ “ญี่ปุ่น” และ “จีน” อย่างลึกซึ้ง

กองเรือสินค้าจากไทย ได้รับอานิสงส์จาก “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ให้เดินทางไปค้าขายกับจีนและญี่ปุ่น
ได้อย่างเสรี แตกต่างจากกองเรือจากฝรั่งต่างๆ ที่มีเรื่องบาดหมางกับจีนและญี่ปุ่นตลอด

นี่เป็นเหตุและผลที่ทำให้ “เยรากี” ชาวกรีกผู้เกิดในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ในปี พ.ศ. ๒๑๙๓ แปลตรงตัวว่า “เหยี่ยวนกเขา” ชาวกรีก หรือ “ฟอลคอน” ซึ่งแปลว่า “เหยี่ยวนกเขา” เช่นกัน หลังเผชิญมรสุมชีวิต พ่อแม่เป็นผู้ดีตกยาก ต้องซัดเซพเนจรละทิ้งเมืองกรีกไปทำมาหากินกับคนอังกฤษและต้องเปลี่ยนชื่อ เป็น “ฟอลคอน” เพื่อความอยู่รอด ได้มาเป็นใหญ่เป็นโต ได้ดิบได้ดีในเมืองสยาม ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ฟอลคอนมีอุปนิสัยเหมือนเหยี่ยวจริง เป็นคนหูไว ตาไว นักฉวยโอกาส โฉบเฉี่ยวภักษาหารได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ประวัติศาสตร์พงศาวดารกรุงศรีอยุธยาบันทึกไว้ว่า เขาเป็น “ต่างชาติ” ที่ได้รับตำแหน่งสูงสุดในสยามคือได้เป็นถึง “อัครมหาเสนาบดี”

เทียบกับสมัยนี้ ก็ระดับ “นายกรัฐมนตรี” แห่งประเทศไทยกันเลยทีเดียว!

ฟอลคอนมีอุปนิสัยคล่องแคล่วง ว่องไว เฉลียวฉลาด ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า ถนัดในการค้าขาย หรือจีนเรียก “เซ็งลี้” ไทยเรียก “คอรัปชัน” แต่ไม่ถนัดใน “การศาสนา” “การเมือง” และ “การทูต”

ตามประวัติฟอลคอนอยู่อังกฤษ ทำงานที่อังกฤษนานหลายปี จนนับถือคริสต์นิกาย “โปรเตสแตนท์” ก็ตามแบบอย่างผู้ดีอังกฤษ

เดินทางมาถึงเมืองไทยในปี พ.ศ. ๒๒๑๘ โดยเป็นลูกเรือพ่อค้าชาวอังกฤษคือ ยอร์ช ไวต์

ปีเถาะ ปีพ.ศ. ๒๒๑๘ ปีนั้นฟอลคอนมีอายุได้ ๒๕ ปี!!!

ไวต์ พ่อค้าชาวอังกฤษ เห็นว่าฟอลคอนเป็นคนซื่อสัตย์ ไว้ใจได้ คล่องแคล่ว ว่องไว เฉลียวฉลาด จึงให้เป็น “ผู้จัดการ” ธุรกิจระหว่างประเทศ ประจำราชอาณาจักรสยาม ให้ทำหน้าที่ “เหยี่ยวนกเขา” กว้านซื้อ เล็งหาสินค้า OTOP ไทยไปขายยังประเทศอื่นๆ ในแถบยุโรป

เหยี่ยวนกเขาตัวนี้ก็โฉบเฉี่ยวบินว่อนหาสินค้า หาโอกาส หาลู่ทาง หาคอนเน็คชัน “เซ็งลี้” สร้างกิจการของตัวเองเช่นกัน

พอนายไวต์สั่งให้ไปทำงานประเทศอื่น นายฟอลคอนติดใจเมืองสยามเสียแล้ว ไม่ยอมไป จึงลาออก แล้วก็ไปเข้ากับพรรคพวกต่างชาติคือ “แขก” เริ่มต้นเดินเรือค้าขายระหว่างสยามกับอินเดีย

มีเรื่องน่าคิดสำหรับ SMEs ต่างๆ เสมอว่า จะทำการใดๆ จะต้องเผชิญสภาวะ “เจ๊ง เจ็บ จน” ก่อน เพื่อ “ทดสอบ” หรือ “ฉีดวัคซีน” ภูมิคุ้มกัน แล้วแต่จะสรรหามาว่ากันไป

นายเหยี่ยวนกเขาตัวนี้ก็เช่นกัน ดวงไม่ถูกโฉลก ไม่สมพงษ์ค้าขายกับแขก เรือสำเภาที่ล่องไป เกิดไป “อับปาง” แตกในมหาสมุทรอินเดีย

ฝันที่จะโกยเงินรูปีก้อนโต มลายหายวับไปชั่วพริบตา เหลือแค่ “ตัว” เปล่า เอาตัวรอดได้ก็นับว่าเป็น “เคราะห์ซ้ำ” หรือ “กรรมซัด” หรือ “พระเจ้าอวยพร” ก็สุดจะคาดเดา

เพราะในห้วงเวลาเดียวกันกับที่เรือสำเภาลำแรกในชีวิตของนายฟอลคอนอับปางลงจน ทำให้สิ้นเนื้อประดาตัว จากที่คิดว่าจะเป็น “นายห้างฝรั่ง” ก็กลายเป็น “กะลาสีตกยาก” ชั่วข้ามคืน

Oh! My God!

ที่ชายฝั่งทะเลดังกล่าว คณะราชทูตไทย ซึ่งเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับทางเปอร์เซีย หรืออิหร่านสมัยนี้ เกิดสภาวะ “เรือแตก” กลางทะเลเช่นกัน

คนเจ๊ง มาเจอคนเจ๊ง จะเข้าใจ เห็นใจ หัวอกคนบาดเจ็บด้วยกันเสมอ ! นี่คือความจริงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

จนถึงสมัยนี้ ผมถึงชอบพูดเสมอว่า เราต้อง “เปิดทาง” และต้องให้ “โอกาส” คนรอบตัวเรา ไม่ว่าเขาหรือเธอจะอวดดี อวดเก่ง หรือ “หัวล้าน” เกินครู อย่างไร เราก็ต้อง “อภัย” และ “อโหสิ” กับคนที่คิดเวอร์ พูดเวอร ทำเวอร์

คนเวอร์ทั้งหลาย ไม่เป็นพิษเป็นภัยเหมือน “อันธพาล” คนที่หูตามืดบอดเพราะเห็นแต่ “เงิน” เป็นที่ตั้ง คนที่พร้อมคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ก็เป็นอีก “เวอร๋ชัน” ที่ให้อภัยและอโหสิไม่ได้

ถ้าเจอ “อันธพาล” ต้องใช้ “กฎหมาย” หรือกระบิลเมือง ลงโทษให้สาสมกับความชั่ว ส่วนคนเวอร์ทั้งหลาย ต้องให้โอกาส “แก้มือ” ต่อไป

ฟอลคอนมี “จิตอาสา” ช่วยเหลือคณะทูตด้วยน้ำใสใจจริง จน “ได้ใจ” คณะทูต และรับอาสาใช้ “ภาษา” เจรจาต๊าอ่วยจนมี “เรือฝรั่ง” ด้วยกันเป็น “เหยื่อ” พาคณะทูตสยามกลับถึงพระนครศรีอยุธยา

เช่าเหมาลำแบบ “ฟรีๆ” โดยมัคคุเทศก์ “ฟอลคอน” นำส่งถึงที่ จัดเต็ม จัดหนัก โดยไม่คิดค่าแรง ค่าจ้าง ค่าออน แม้แต่หนึ่งสลึงหนึ่งเฟื้อง หรือหนึ่งโสฬสเดียว

คนไทยเรา แต่ไหนแต่ไร มีนิสัย “ซาบซึ้ง” ขอบคุณ ประทับใจ ไม่ต้องให้ใคร “พร่ำบอก” หรือ “เทศนา”
เลยมีโอกาสถูกพาตัวเข้าพบ “เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก)” มือขวาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เจ้านายของคณะทูตที่ “สำเภาล่ม”

ท่านเจ้าคุณ เป็นรัฐมนตรีว่าการทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และกระทรวงต่างประเทศ เห็นแววเฉลียวฉลาด อ่อนน้อม ถ่อมตน นิสัยดีของฟอลคอน ก็เลยชักชวนเข้ารับราชการ

จากคน “สิ้นเนื้อประดาตัว” ก็ได้เป็น “ข้าราชการ” ถือพาสปอร์ตเล่มน้ำเงิน อะไรจะขนาดนั้น !!! แค่ผ่านมหาสมุทรอินเดียแค่มหาสมุทรเดียว

โลกเรานี้เหมือน “ละคร” มีทั้งอะไรที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ กับอะไรที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้!

เหมือนนักศึกษาบางคน รับทำ SPSS รับเป็นที่ปรึกษาวิจัยวิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ ภาคนิพนธ์ ทำให้เพื่อนๆ จบปริญญาโท SMEs ที่มหาวิทยาลัยบูรพา จบเป็นสิบๆ คน

พอถึงตัวเองเข้าสอบ กลับบ้อท่า สอบตก ตายน้ำตื้น !!!

คนที่คิดว่าน่าจะแย่ ไม่น่าจะรอด กลับสอบผ่านเฉยเลย แบบไม่น่าเชื่อ!!!

นี่คือ “ความบังเอิญ” ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “คน”

นายฟอลคอน ก็ยังคงใช้ชื่อว่า “ฟอลคอน” หรือ “เหยี่ยวนกเขา” เหมือนเดิม และคงจะรับราชการกระทรวงการต่างประเทศไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เกิดเรื่องราว “สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ”

ฟอลคอนเป็นคนฉลาด ค้าขายมามาก เดินทางหลายประเทศ รู้เช่นเห็นชาติพวกต่างชาติด้วยกันเป็นอย่างดี จึงเข้าใจเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวของพวกฝรั่งคนกันเอง

ยากที่จะเกิดเรื่องราว “ฝรั่งต้มฝรั่ง” หรือ “ฝรั่งหลอกฝรั่ง” เหมือนเรื่องราว “ลาวต้มลาว” หรือ “คนลาวหลอกลวงคนลาว” ด้วยกันเอง เหมือน “บั๊งไฟพญานาค”

พระนครศรีอยุธยาสมัยนั้น ไม่มีฝรั่งพ่อค้าคนใดจะตบตาหรือหลอกลวงฟอนคอนได้ และฟอลคอนก็ทำหน้าที่รักษาทรัพย์สินส่วนราชการด้วยความซื่อสัตย์เป็นอย่าง ยิ่ง

ขาวต่างประเทศไม่ว่าแขก ฝรั่ง จีน หรือญวน เมื่อเอ่ยถึง “ฟอลคอน” ทุกคนจะรู้สึก 2 อารมณ์ “เกลียด” และ “กลัว”

มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งพ่อค้าแขกรวมตัวกันเป็นโจทก์ทำบัญชีฟ้องศาลโลก สมัยนั้น กล่าวหาว่ารัฐบาลไทยเป็นจำเลยโดยท้องพระคลังสินค้าหลวง ยักยอก ฉ้อโกงเงินการค้าระหว่าง “แขก” กับ “รัฐบาลสยาม”

เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) มีคำสั่งแต่งตั้งให้ “เหยี่ยวนกเขา” ทำหน้าที่เป็นพยานฝ่ายจำเลยคอยตรวจสอบบัญชีพ่อค้าแขก

ตรวจสอบกันไป ตรวจสอบกันมา สอบถามพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์และจำเลย ศาลโลกพิพากษาว่า หักลบกลบหนี้การค้า 70/30 หรือ 50/50 หรือ 60/40 ไม่ว่าจะคำนวณด้วยสูตรใดบนศาล การณ์กลับโอละพ่อ !

ไม่รู้ว่าเหยี่ยวนกเขาตัวนี้ใช้กลยุทธ์จัดการโดยวิธีการทำอย่างไร ? ชำระคดีกันไปมา ในที่สุดศาลแพ่งโลกสมัยนั้น แทนที่จะตัดสินให้ “รัฐบาลสยาม” ชำระหนี้แก่กลุ่มพ่อค้าแขก กลับกลายเป็นว่ากลุ่มพ่อค้าแขกต้องหาเงินก้อนจำนวนมากมายมาใช้หนี้ “รัฐบาลสยาม” แทน

กลุ่มพ่อค้าแขก จวนเจียนจะชวนกันผูกคอตาย อุตส่าห์แต่งเรื่องโกหกมดเท็จศาลโลกกล่าวหาว่าอีกฝ่ายยักยอก ฉ้อโกง ปลอมแปลงเอกสาร สืบไปสืบมา กลายเป็นว่าพวกแขกกลุ่มนี้แหละเจ้้าเล่ห์ สร้างเรื่อง สร้างพยานเท็จ สร้างเอกสารเท็จ หลอกลวงให้ศาลแพ่งโลกหลงเชื่อ

สุดท้ายถูกลงโทษหนัก ใช้หนี้ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” กันก้อนโต

เป็นอุทาหรณ์จนถึงสมัยนี้ว่า นิติบุคคล หรือผู้บริหารองค์การรัฐหรือเอกชนที่ชอบแต่งเรื่อง สร้างเรื่อง หลอกตำรวจ หลอกอัยการ หลอกศาล ชอบมีเรื่องมีราว กุเรื่องชั้นโรงชั้นศาล ต้องระมัดระวังตัวให้จงหนักว่า “อะไรคือเท็จ อะไรคือจริง”

สิ่งที่เท็จ กรรมสนองเร็วพลัน ชีวิตก็จะจบลงด้วยการ “ใช้เงิน” “ใช้หนี้” หัวโต !!!

อยู่ไหนก็ไม่มี “ความสุข” เพราะกรรมและอกุศลที่ตัวเองก่อ และโดน “เช็คบิล” ย้อนหลัง!!!

ความดีความชอบของฟอลคอน ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดปราน ทรงแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง เป็น

“หลวงวิชาเยนทร์” แปลตรงตัวว่า “คนผู้เป็นยอดแห่งวิชาการของในหลวง”

สมัยนี้เทียบได้กับคนมีความรู้ระดับ “ดร.”

หลวงวิชาเยนทร์ ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่า แม้จะเป็นคนที่พ่อค้าต่างชาติประหวั่นพรั่นพรึงกิตติศัพท์จนทั้งเกลียดและ กลัว แต่ส่วนใหญ่ก็ชอบไปหา เพราะเป็นคนอัธยาศัยดี กันเอง คุยง่าย พูดรู้เรื่องกันง่าย

ทุกอย่าง คำไหนคำนั้น 70/30 ก็จบ 60/40ก็ได้ หรือจะ 80/20 ก็ไม่ว่า เป็นคนคุยรู้เรื่อง

สิ่งที่ “ฟอลคอน” ทำไม่สำเร็จคือ “กิจการโลจิสติกส์” โดยเฉพาะการสร้างท่าเรือน้ำลึกที่มะริดให้เป็นศูนย์กลางเดินเรือแทนสิงคโปร์

อย่างที่บอก “ฟอลคอน” เก่งในการค้า การเจรจา แต่เพราะเป็นคนซื่อ เป็นคนรักษาคำพูด ก็กลายเป็น “จุดอ่อน” ผูกมัดตัวเอง

จะเห็นได้จาก ๒ เรื่องหลังจากนั้นที่เกิดขึ้นในชีวิตของฟอลคอน

เรื่องแรก “คดีท่าเรือมะริด” ซึ่งฟอลคอนอาศัยคอนเนคชันอังกฤษ ติดต่อฝรั่ง ๒ นายจากอังกฤษมาทำกิจการโลจิสติกส์ เดินเรือระหว่างไทยกับญี่ปุ่นกับจีน

ซึ่งทั้ง ๒ ประเทศ ทั้งจีนและญี่ปุ่น สมัยนั้น ปิดประตูลั่นดาล ไม่ค้าขายกับฝรั่งนานาชาติ แต่ยอมค้าขายกับไทย

นี่คือคุณูปการของ “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่มีผลต่อพสกนิกรชาวไทย

ถ้าสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระชนม์อยู่ต่อได้อีกถึง ๑๐ ปี ประวัติศาสตร์ประเทศสยามจะเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้

แต่เป็นความโชคร้ายของประเทศสยาม  เพราะพลันทันทีที่สมเด็จพระนารายณ์สูญพระราชอำนาจในปลายรัชสมัย

ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

“โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว

สิ้นบุญแล้วหลบหน้าพากันหนี

เมื่อรุ่งโรจน์ทั่วรัฐปัฐพี

ก็คอยมีคนเฉลิมเพิ่มพูนพระยศ

ถึงคราวสิ้นวาสนาชาตาร้าย

เขาหลบหน้าหนีหายกันไปหมด

ที่คาดหมายไว้เป็นมิตรกลับคิดคด

พระผ่านเกล้าบุญหมดเพียงเท่านี้”

คำรำพึงรำพัน กลางราตรีมืดมิดเดียวดาย กลางวังนารายณ์ ลพบุรี ของพระปีย์ ผู้ถวายการรับใช้

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช กระทั่งวินาทีสุดท้าย…

 

การจัดการโลจิสติกส์ขนส่งสินค้าทางเรือของ “ฟอลคอน” ขัดผลประโยชน์มหาอำนาจคือ “อังกฤษ” เผชิญคู่แข่งสำคัญคือ “บริษัทอินเดียตะวันออก” ซึ่งได้รับสัมปทานจากรัฐบาลอังกฤษ คอยขัดขวาง สกัดกั้นทุกวิถีทาง ซึ่งข้อบ่งชี้ในสัญญานอกจากจะไม่ให้ใครค้าขายแข่งเท่านั้น บริษัทนี้ยังมีอำนาจห้ามคนอังกฤษรับจ้างหรือทำงานในประเทศเอเชียตะวันออกที่ ดำเนินกิจการคล้ายกับ “บริษัทอินเดียตะวันออก”

พูดง่ายๆ ว่า บริษัทสัญชาติอังกฤษนี้ นอกจากจะเอาคนพื้นเมืองเอเชียเป็นทาสแล้ว ยังเขียนสนธิสัญญาครอบคลุมผูกมัดเอา “คนอังกฤษ” ที่พลัดหลงมาทำงานในเอเชียให้กลายเป็นทาสไปด้วย

แต่ฟอลคอนเป็นคนฉลาด  ขนาดมีกฎเกณฑ์ข้อห้ามมากมาย แต่เขายังสามารถจ้างฝรั่งอังกฤษมาทำงานด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะมีข้อตกลงพิเศษคือ ยอมให้ฝรั่งเหล้านี้ ขนสินค้าตนเองกลับไปขายในยุโรปได้ด้วย!

ทำงานกับบริษัทสัญชาติอังกฤษเป็นลูกจ้าง 100% แต่ทำงานกับรัฐบาลสยาม สามารถเป็นได้ทั้งลูกจ้างเงินเดือนแพงกว่าเท่าตัว และยังเป็นเถ้าแก่ SMEs ขนสินค้ากลับไปขายได้ เป็นได้ทั้งผู้ประกอบการ

ไม่แปลกที่สมัยนั้น ใครต่อใครก็แห่เข้ามาเมืองสยาม เพราะความฉลาดของ “เหยี่ยวนกเขา” ที่วางเงื่อนไขไว้รัดกุมและ “ให้ยิ่งกว่ารับ”

บริษัทอังกฤษโต้ตอบอย่างเหี้ยมโหด “ทุ่มตลาด” ด้วยการจับกองเรือสินค้าไทยในมหาสมุทรแปซิฟิคทั้งหมด

เท่านั้นยังไม่พอ ยังบุก “เมืองมะริด” สั่งรื้อท่าเรือน้ำลึก บังคับเรือสินค้าไทยให้แล่นออกทะเล แล้วดักยึด หน้ำซ้ำยัง “วางบิล” สมเด็จพระนารายณ์มหาราชอีก 40,000 ปอนด์

นี่คือความโหดร้ายที่ฝรั่งที่อ้างว่าเป็น “ผู้ดี” กระทำกับชนชาติสยามสมัยนั้น

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ออกประกาศตัดความสัมพันธ์กับอังกฤษ เป็นเหตุให้ไทยกับอังกฤษเลิกค้าขายกันนานเกือบร้อยปี!!!

เหตุการณ์นี้เกิดในปี พ.ศ. ๒๒๓๐ เป็นปีที่เจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) เดินทางกลับจากราชสำนักพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ พอดี!

เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เห็น “วิกฤต” เป็น “โอกาส” อีกครั้ง เมื่อไม่มีฝรั่งอังกฤษเป็นลูกมือ ก็เกลี้กล่อมเอาทหารฝรั่งเศส มาทำท่าเรือ ทำกิจการเดินเรือต่อ

เดินหน้า “ซื้อใจ” ด้วยการเข้ารีตเปลี่ยนศาสนาจากนิกายโปรเตสแตนท์แบบอังกฤษเป็นแคทอลิกแบบ ฝรั่งเศส ก็ยอมทำ เพื่อให้ “กิจการโลจิสติกส์เดินเรือค้าสินค้าระหว่างประเทศ” ประสบความสำเร็จ!!!

โชคร้ายซ้ำสองของ “ฟอลคอน” เพราะ “เหยี่ยวนกภูเขา” ไม่ถนัดเกมการเมือง โดยเฉพาะ “การพระศาสนา” เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ฟอลคอน ตกเป็นเหยื่อ อยู่ในความเพ่งเล็งของ ๒ พ่อลูกชาวสุพรรณบุรี

นั่นคือ พระเพทราชา และหลวงสรศักดิ์

ระยะหลัง เรื่องราว “ช้างป่าต้น คนสุพรรณ” จะเกี่ยวพันกับ “ศึกชิงบัลลังก์” เสมอ

ฟอลคอน นำเสนอแนวคิดว่า เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่มีพระโอรสสืบทอดพระราชอำนาจ สมควรทำแบบ “เชียงใหม่” ตั้ง “พระราชธิดา” คือ “เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ” เป็น “พระมหากษัตริย์” สืบต่อสันตติวงศ์ เช่นเดียวกับราชวงศ์อังกฤษ

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ไม่ทรงรับหลักการ เพราะเรื่องดังกล่าวเป็น “นวัตกรรมการปกครอง” เป็นเรื่องที่อาจ “คิด” ได้ แต่จะ “ทำ” ตามหรือไม่ ไม่ทรงเห็นด้วย เพราะสิ่งไม่เคยมี ก็ยากจะทำให้มี

หรือมิฉะนั้น ก็ยกตำแหน่ง “พระมหากษัตริย์” ให้ “น้องชาย” คือ เจ้าฟ้าอภัยทศ

แต่ “สมเด็จพระนารายณ์มหาราช” ก็ไม่ทรงดำเนินการใดๆ

กลับมีแต่ “ข่าวปล่อย” “ข่าวลือ” “ข่าวลวง” แพร่สะพัด “สาดโคลน” “ใส่ร้าย” ถล่มเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ว่ามักใหญ่ใฝ่สูง ต้องการเปลี่ยน “แผ่นดินสยาม” ให้เป็น “แผ่นดินคริสต์”

ข่าวปล่อยจาก “นักการเมือง” กลุ่มราชวงศ์บ้านพลูหลวงว่า “ฟอลคอน” กำลังเพ็ดทูลให้ “พระนารายณ์” ยกแผ่นดินให้ “พระปีย์” ซึ่งเข้ารีตนับถือคริสตังแล้ว เป็น “พระมหากษัตริย์” องค์ต่อไป

ข่าวลือ ข่าวลวงเรื่อง “การเมืองนำโดยการศาสนา” เป็นเรื่องที่ “ฟอลคอน” นักเดินเรือ พ่อค้าตลอดชีวิตแก้ไม่ตก

เพราะชีวิต มิใช่นักการศาสนา แผนการที่เคยวางไว้ว่า จะทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ สมพระทัยที่ทำให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเข้ารีตเป็นคริสต์ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายตัวเองต้องเปลี่ยนจากโปรเตสแตนท์เป็นแคทอลิกแทน

แผ่นการทำ “กิจการเดินเรือระหว่างประเทศ” ก็ไม่สำเร็จ

สุดท้าย “ฟอลคอน” หรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ก็ถูกนำตัวมาชำระที่ “ศาลไทย” โดยหลวงสรศักดิ์ หรือ “พระเจ้าเสือ” เป็นประธานคณะผู้พิพากษาดำเนินคดีสอบสวน

ข้อหาแรก  ชักชวนพระปีย์คนสนิทสมเด็จพระนารายณ์มหาราชให้เข้ารีต พระปีย์เป็นคริสตังตามพระประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสแล้ว และพยายามยุยงให้ตั้งพระปีย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อไป “ฟอลคอน” ปฏิเสธหนักแน่น ย้ำว่าพระปีย์ไม่เคยเข้ารีต ให้เอาบาทหลวง หรือสังฆราชฝ่ายคริสต์ทุกวัดในลพบุรีและอยุธยามาสอบสวนดู จะไม่พบหลักฐานว่าพระปีย์ไปเข้ารีตที่โบสถ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะพระปีย์อยู่รับใช้ใกล้ชิดพระนารายณ์ฯ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยมีเวลาฟังเทศนาหรือศึกษาคัมภีร์ไบเบิ้ล

ข้อหาที่สอง เกณฑ์พระสงฆ์จากวัดในพระพุทธศาสนาไปทำงานเป็นกรรมกรรับเหมาก่อสร้าง “ฟอลคอน” แก้ข้อกล่าวหาว่าให้ไปสืบวัดทั่วลพบุรีและอยุธยาดูว่า มีพระสงฆ์จากวัดใดที่ตนเกณฑ์มาทำงานก่อสร้างหรือโยธาทั้งที่ยังห่มผ้าเหลือง ! เพราะเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เชื่อว่า พระสงฆ์ผู้ทรงศีล จะไม่กล่าวเท็จ กล่าวมุสา สุดท้ายฝ่ายโจทก์ไม่กล้านำพยานคือพระสงฆ์มาสืบ

สอบสวน ๓ วัน เมื่อหาความผิดใดๆ ไม่ได้ ก็นำไปประหารชีวิตเสียที่ “ทะเลขุบศร” เมืองลพบุรี

เป็นอันปิดฉากชีวิต “เจ้าพระยาวิชาเยนทร์” บุรุษผู้เผชิญโชคภัยที่สำคัญมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

 

แง่คิดจาก “แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช” คือ จะตั้งตัวเอง หรือจะให้พระยาเลี้ยง

โลกสมัยใหม่ ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเลือกได้ ก็จงเลือกที่จะ “เลี้ยงตัวเอง” “เป็นอะไรก็เป็นได้”

ด้วยตัวเอง

 

จงระวังตัวเรื่อง “การเมือง” และ “การศาสนา”  รวมถึงเรื่องที่ “ละเอียดอ่อน”
จะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในช่วงนี้ ต้องระวังตัวกันให้ดีๆ

เพราะไม่รู้ว่า ใครคือ “ฝ่ายเจ้า” หรือฝ่าย “ล้มเจ้า”

มิฉะนั้น จะตกเป็นเหยื่อแบบ “นักรบเดียวดาย” หรือ “เอกยุทธ” ที่แปลว่า “รบคนเดียว”

 

จะทำการใดๆ ให้ผสมผสาน “โมเดล” ระหว่าง “สมเด็จพระนเรศวรมหาราช” กับ

“สมเด็จพระนารายณ์มหาราช”

 

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงใช้ชีวิตมีสีสัน สนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าใจตลอดเวลา เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด กล้าได้ กล้าเสีย กล้าเสี่ยง กล้าลอง กล้าริเริ่มกล้าเปลี่ยนแปลง และทรงทำอะไรทุกอย่างด้วยพระองค์เอง ต่างชาติเคารพ ยกย่อง นับถือ ยำเกรง หลายครั้งที่รบโดยไม่ต้องรบ ได้ “เชียงใหม่” โดยไม่ต้อง “รบ” ได้ “มลายู” ทั้งแถบ
โดยไม่ต้อง “รบ” เช่นกัน ทรงมีพระบรมเดชานุภาพแผ่ขยายประเทศออกไปได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์
นานาชาติให้เกียรติ ยกย่อง ในน้ำพระทัยกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว รวดเร็ว
ส่วนสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงนุ่มนวล ประนีประนอม ยืดหยุ่นสูง จะทำการใดๆ ทรงยั้งคิดตริตรองรอบคอบไม่หวือหวา ทรงเป็นดั่ง “นารายณ์ 10 กร” ชอบใช้คนดี คนเก่ง คนมีฝีมือรอบตัว

ชีวิตบางครั้งก็รวดเร็ว แต่ก็ต้องเร็วแบบรอบคอบ

กล้าเสี่ยง ก็ต้องยั้งคิดตริตรองให้ดี

คิดได้เช่นนี้ ก็จะ “สำเร็จ” ตลอดไป

 

Comments

comments