85. Work hard Work Smart

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เส้นทางนักขาย

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ธุรกิจเครือข่ายขายตรง

พิมพ์ซ้ำ  ที่เว็บไซต์นี้ www.druthit.com

 

ต้นฉบับ 11 มกราคม 2556

เพื่อนๆ นักขายครับ ฉบับนี้ขอนำเสนอเปรียบเทียบความเฮงเกิดจากทำงานหนัก หรือ Work Hard กับทำงานแบบใช้พลัง เรียกว่า Work Smart

 

การทำงานแบบใช้พลัง ขยายความหมายถึง การใช้ “เงิน” ทำงาน ใช้ “คนอื่น” ช่วยทำงาน ใช้ “สมอง” ทำงาน ใช้ “ใจ” ทำงาน ใช้ “เครือข่าย” ทำงาน ใช้ “สายสัมพันธ์” และพลังจาก “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” และ “ระบบจักรวาล”

 

จากการเฝ้าสังเกต คนที่ประสบความสำเร็จในสังคมไทย ในแวดวงต่างๆ พบว่า แนวโน้มคนที่ Work Smart มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้เพราะคนเราส่วนใหญ่ ไม่อยากเสียเวลา ไม่อยากเสียเงิน ไม่อยากเสียพลังสมอง และจิตใจให้แก่งานที่ไม่ได้เรื่อง  จะได้เอาเวลา เอาเงิน ไปทำงานอย่างอื่น

 

สัญญาณที่บ่งชี้ว่า “ทำงานหนักเกิน” คือ

 

อันดับ 1 ทำงานตามตาราง แต่ละวันมีงานต้องทำประจำ เช้า-สาย-บ่าย-เย็น ทำตามคิวนัด ไม่มีเวลาพักผ่อน เดินเล่น หรือผ่อนคลาย

 

อันดับ 2 กินอาหารไม่เป็นเวลา แต่ละวัน เมื่อเผชิญสภาวะไม่รู้ว่าจะได้กินข้าวเที่ยง หรือข้าวเย็นเวลาไหน ใครที่ตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ ร่างกายจะอ่อนล้า สมองจะเครียด จะกดดัน

 

อันดับ 3 งานค้าง ทำไม่แล้วเสร็จ ต้อง หอบกลับไปทำที่บ้าน เสาร์หรืออาทิตย์ก็ไม่ได้พักผ่อน  ถ้าตกอยู่ในสภาวะเช่นนี้ ก็เป็นสัญญาณเตือนว่า กำลังเข้าข่าย “ทำงานหนัก”

 

อันดับ 4 ไม่มีเวลา วันทั้งวันหมดไปกับการทำงาน ไม่มีเวลาจะนอนยาวๆ ไม่มีเวลาจะพักผ่อนอยู่กับบ้าน ดูหนัง ฟังเพลง ออกไปทานอาหารอร่อยกับเพื่อน หรือร้องคาราโอเกะ เพื่อผ่อนคลาย

 

จากการวิจัยพบว่าการทำงานหนัก มีผลเสียต่อ “ความสำเร็จ” ในชีวิต ยิ่งทำงานหนักมากขึ้นเพียงใด ยิ่งเจ๊ง ยิ่งเจ็บ ยิ่งจน

 

หมดยุคของ “เสื่อผืนหมอนใบ  และหยาดเหงื่อแรงงาน”  ไม่ใช่ยุคของคนที่จะต้องเป็นกรรมกร ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเหมือนในอดีต

 

อาเซียนในปี 2558 เป็นยุคของคนทำงานด้วยสมอง  “ทำน้อย ได้มาก”  ไม่ใช่ยุคของ “ทำมาก ได้น้อย” อีกต่อไป

 

ต่อไปจะเป็นยุคของคนที่ทำงานแบบ Work Smart

 

ผมนึกถึง “ยุโรป” และ “ตะวันออกกลาง” ที่ผมเพิ่งเดินทางกลับมา

 

จากที่ท่องไปในประเทศต่างๆ ตั้งแต่สวิส อิตาลี เยอรมัน เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก จบการเดินทางที่ปารีส ฝรั่งเศส

 

ผมได้แง่คิดว่า  ฝรั่งเป็น “นักคิด” และ “นักวิจัย”  ส่วนคนในเอเชีย เป็น “นักผลิต”

 

ฝรั่งสะสมทุนคือ “เงิน” จะทำการใดๆ ต้องมี “เงิน” เอาเงินต่อเงิน ใช้สมองคิด วิจัยแล้วทำเป็นสินค้าออกสู่ตลาด

 

แตกต่างจากคนไทย และประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ส่วนใหญ่คือ “นักบริโภค นักใช้”

 

คนในประเทศพัฒนาแล้ว วิวัฒนาการธุรกิจ เริ่มจาก อุตสาหกรรมการเกษตร ทำนา ทำไร่ ทำสวน จากนั้นเปลี่ยนแปลงเป็นอุตสาหกรรมการผลิต  อุตสาหกรรมบริหาร จนกลายเป็นอุตสาหกรรมดิจิตอล ใช้เทคโนโลยี ทั้งเทคโนโลยีชีวภาพ นาโนเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศ

 

บ้านเมืองเขา ประชากรส่วนใหญ่ใช้สมอง อุตสาหกรรมเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างมูลค่า ผลกำไรมากมายมหาศาล  ไม่ได้ใช้แรงงาน ขายแต่วัตถุดิบ และสินค้าเกี่ยวกับการเกษตร

 

แตกต่างจากเจ้าของกิจการในเมืองไทยส่วนใหญ่ มองว่า การได้มาซึ่งความสำเร็จคือการลงทุนลงแรง ทุกคนต้องช่วยกัน แต่หลายๆ ครั้งนายจ้างในเมืองไทยทั้งองค์การภาครัฐและภาคเอกชนไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่เที่ยงธรรมกับลูกจ้าง ให้ผลตอบแทนกับสิ่งที่ทุ่มเททำงานลงไปไม่คุ้ม ชีวิตการงานกับชีวิตส่วนตัวของพนักงานขาดความสมดุล ผลคือทำงานแบบไร้ความรู้สึก ซังกระตาย อยู่ไปวันๆ ทุกข์ทรมาน ขาดแรงกายแรงใจ ไม่มีแรงกระตุ้น การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ผลงานไม่ดี

 

จบลงที่หน่วยงานภาครัฐต่างๆ และภาคเอกชนหลายแห่งที่มีปัญหาเรื่องไอที ส่งผลให้บริษัทไม่เจริญ

 

ถ้าอยากเฮง ก็ต้อง Work Smart วิธีทำงานแบบอัจฉริยะ ต้อง “ริเริ่มก่อน” หรือ “ลงมือทำก่อน” ยกตัวอย่างเช่นประเทศในแถบยุโรป ที่สำเร็จเร็วกว่า เพราะแต่ละประเทศริเริ่มอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ก่อนเมืองไทยเป็นเวลาหลายสิบปี มีผลทำให้ไทยเราตามไม่ทัน

 

ฝรั่งเจริญก้าวหน้าก้าวไทยมากเพราะทำงานแบบ Work Smart ทั้งการลงมือทำก่อนในเรื่องเศรษฐศาสตร์ระดับจุลภาคและมหภาค  รวมถึงชิงความได้เปรียบจากกฎหมายและอนุสัญญาระหว่างประเทศ

 

แนวคิด “ริเริ่มก่อน”  “ลงมือทำก่อน” จบลงด้วยการ “สำเร็จก่อน” คนอื่นที่ดีแต่พูด แต่ไม่ยอมลงมือทำ เมื่อคนใดคนหนึ่งสำเร็จเพราะ “ริเริ่มก่อน” หรือ “ลงมือทำก่อน” ตามหลัก Work Smart

 

เพื่อนๆ นักขายครับ อยากเฮง อยากรวย อย่าลืม ต้องริเริ่มก่อน และลงมือทำก่อนคู่แข่งครับ สั้นๆ แค่นี้เอง ต้องริเริ่มก่อน และต้องลงมือทำก่อน

Comments

comments