82. ชนะแบบเบลเยียม

คอลัมน์  How to Win

ชนะแบบเบลเยียม

Manneken Pis*

แมนเนเกน พิส (ดัตช์: Manneken Pis; แปลว่า เด็กชายกำลังปัสสาวะ บางครั้งเรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า le Petit Julien แปลว่า จูเลียนน้อย) เป็นน้ำพุขนาดเล็กหล่อด้วยทองแดงเป็นรูปเด็กชายยืนเปลือยกายกำลังปัสสาวะใส่อ่าง มีความสูงประมาณ 61 ซ.ม. [1] ตั้งอยู่บริเวณทางแยกระหว่างถนน Rue de l’Étuve/Stoofstraat และ Rue du Chêne/Eikstraat ใจกลางกรุงบรัสเซลส์ รูปหล่อปัจจุบันออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย ช่างหล่อชาวฝรั่งเศสฟลามส์ ถูกนำมาติดตั้งราวปี ค.ศ. 1618 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของประเทศเบลเยียม

มีตำนานเล่าว่า รูปปั้นนี้เดิมสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14 ด้วยหินแกะสลัก ในขณะนั้นบรัสเซลส์อยู่ท่ามกลางสงคราม และถูกฝ่ายตรงข้ามนำระเบิดมาวางไว้ที่กำแพงเมือง เด็กชายคนหนึ่งชื่อ จูเลียนสกี (Julianske) มาพบสายชนวนระเบิดกำลัง ติดไฟ จึงปัสสาวะรดเพื่อดับชนวนและป้องกันเมืองไว้ได้ ชาวเมืองจึงทำรูปแกะสลักนี้ไว้เพื่อระลึกถึงความกล้าหาญ ต่อมารูปสลักนี้ถูกขโมยสูญหายไปหลายครั้ง จึงถูกแทนที่รูปหล่อตัวปัจจุบัน ที่ออกแบบโดยเจอโรม ดูเกสนอย ในปี ค.ศ. 1618

ในปัจจุบัน เทศบาลเมืองบรัสเซลส์ได้จัดเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ บางช่วงจะมีการจัดเครื่องแต่งกายพื้นเมืองต่างๆ สวมให้กับรูปปั้นนี้ โดยในช่วงเวลาปกติรูปปั้นนี้จะอยู่ในสภาพเปลือยกาย

งานบริการวิชาการจากสังคมโลกสู่สังคมไทยแบบ “วิทยาทาน”

กลั่นจากสมอง กรองด้วยใจโดย

ศาสตราจารย์ ดร. อุทิส ศิริวรรณ

ข้อเขียนนี้ สนับสนุนโดย ผลิตภัณฑ์ Biotechnology
“ดีเบรม” อาหารสมอง สำหรับผู้ทำงานหนัก
ไม่มีเวลาพักผ่อน สนใจผลิตภัณฑ์ ติดต่อ 081-421-7151, 086-999-8183

 

วันที่ 28 ธันวาคม 2555

             เบลเยียม เป็นประเทศที่แทบไม่ปรากฏข่าวคราวในบ้านเมืองเรา

 

 

 

             แต่จากที่ได้พบ ได้เห็น ได้สัมผัส ประเทศนี้ เป็นประเทศที่น่าสนใจศึกษา “วิธีชนะ”

เบลเยียม เป็นอีกประเทศที่มีเส้นทางการเดินทางที่สามารถ “บินตรง” จากเมืองไทยถึงกรุงบรัสเซลส์ได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 13 ชั่วโมง

ผมใช้เวลาเดินทางจากแฟรงก์เฟิร์ตมาถึงที่เมืองบรัสเซลส์กว่า 5 ชั่วโมงโดยทางรถไฟและต่อรถบัสอีก 100 กิโลเมตรเศษ เนื่องจากหิมะตกหนัก รถไฟต้องหยุดที่เมืองอาเคน


กรุงบรัสเซลส์ เป็นเมืองทันสมัยที่สุด เมื่อเทียบกับสวิส เยอรมัน อิตาลี และฝรั่งเศส ที่ผ่านมา

 

วัดได้จาก “อินเทอร์เน็ต”  เน็ตความเร็วสูงของที่นี่ ทำงานได้ดีใกล้เคียงกับเมืองไทย

 

เปรียบเทียบเรื่องการใช้อินเทอร์เน็ต ระหว่างบ้านเมืองเรากับอีกหลายประเทศในยุโรป พูดกันอย่างไม่เกรงใจ บ้านเราเน็ต “เร็ว” และ “แรง” กว่าฝรั่งเศส เยอรมัน และสวิส ที่พอแข่งกับไทยได้คือ เบลเยียม

จากที่ได้พบได้เห็นได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ บนถนนสาย “ช็อกโกแลต” ขอนำกรณีศึกษาดังกล่าวมาเป็นอุทาหรณ์ดังนี้


**Chocolate Street : ใกลักับ “แมนเนเกน พิส” หรือ “อนุสาวรีย์เด็กยืนฉี่”
เป็นถนนสายช็อกโกแล็ตสายเดียวในโลกที่รู้กันทั่วโลกว่า ถ้าจะเลือกหา
ช็อกโกแล็ต ต้องมาที่ถนนสายนี้ สายเดียว ในมหานครบรัสเซลส์แห่งเบลเยียม

ข้อแรก “ความคิดสร้างสรรค์” วันนี้ เบลเยียม สามารถสร้าง “สัญลักษณ์” ประเทศเล็กๆ ไม่เหมือนใครด้วย Manneken Pis หรืออนุสาวรีย์เด็กยืนฉี่ จนโด่งดังไปทั่วโลก และยังสร้าง “ถนนสายช็อกโกแลต” จนทำให้คนทั่วโลก ตระหนักและยอมรับว่าถ้าจะกินช็อกโกแลตอร่อยที่สุดและหลากหลายที่สุดในโลก ต้องมาที่บรัสเซลส์ เบลเยียม เท่านั้น


***ความคิดสร้างสรรค์ ที่สะท้อนผ่าน Shopping Window on Chocolate Street
ข้อสอง “ค้าขายแล้วร่ำรวยกว่า” เบลเยียม เป็นประเทศเล็กๆ ก็จริง แต่มีสถิติการซื้อขายกับไทยสูงถึง 69,029.6 ล้านบาท โดยไทยได้เปรียบดุลการค้าถึง 26,583 ล้านบาทเศษ สินค้าที่เราค้าขายแลกเปลี่ยนกับเบลเยียมคือ เพชร เสื้อผ้าสำเร็จรูป ข้าว กุ้งสดแช่แข็ง ผลไม้สดแช่เย็นและแห้ง ยางพารา เป็นต้น

ประเทศที่ค้าขายแล้ว “เงินเหลือ” แบบนี้ SMEs ไทยทั้งหลายน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะโอกาสและลู่ทางที่จะ “ร่ำรวย” เป็นช่องทางเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคน “เปิดทาง” ให้

ข้อ 3 “ยังไม่สายที่จะเริ่มต้น” จาก การท่องไปในเบลเยียมหลายเมือง ผมพบว่ายังไม่สายเกินไปที่ SMEs ไทยจะทำธุรกิจค้าขายกับชาวเบลเยียม เพราะคนพื้นเมืองที่นี่นิสัยดี หลายคนเคยมา “เชียงใหม่” เช่นผู้จัดการโรงแรมเรดิสัน พอรู้ว่าพวกเรามาจากเมืองไทย ก็บอกว่า ตัวเขาเองก็เคยมาอยู่เชียงใหม่นานนับเดือน ชอบนิสัยคนไทย และช่วยเหลือเกื้อกูลด้วยน้ำใจ และมีไมตรีจิต

ผมว่าคนไทยเรา ถ้าไม่ “อิจฉา” “เลื่อยขา” และมัวแต่ “เหยียบตาปลา” กัน ก็จะมีส่วนช่วยพัฒนาประเทศชาติให้พัฒนารุ่งเรืองได้เช่นกัน เพราะอุปนิสัยคนไทยชอบคบกับ “ต่างชาติ” มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย


****คนเบลเยียม กล้าคิด กล้าทำ ก็เลยเกิดสินค้า “Creative” แปลกใหม่ ละลานตาดังในรูป

 

ข้อ 4 “ขอให้กล้าที่จะลองผิดลองถูก” จาก ที่พบเห็นในเบลเยียม คนที่นี่กล้าลองผิด ลองถูก กล้านำ กล้าเปลี่ยนแปลง เช่นเอาช็อกโกแลตมาขายเรียงรายกันจนกลายเป็นถนนสายเดียวในโลก กล้าที่จะปั้นรูปเด็กยืนฉี่หรือ “จูเลียนน้อย” เพื่อสะท้อนความกล้าหาญที่เด็กคนนี้เคยฉี่ดับไฟชนวนระเบิดครั้งสงครามระหว่ง เบลเยียมกับชาติอื่นเมื่อปี 1618 หรือเมื่อเกือบ 400 ปีก่อน

เดี๋ยวนี้ อนุสาวรีย์เด็กยืนฉี่ ทำให้ร้านค้าแถวนั้น มียอดขายรวมกันหลายหมื่นล้านบาทในแต่ละปี เชียงใหม่เอง ก็น่าที่จะนำเรื่องราวผู้กล้าต่างๆ มาเป็น “อนุสาวรีย์” ให้คนต่างชาติต่างถิ่นรำลึกถึงบ้าง

แปะไว้ข้างฝาว่าหลักการข้างต้นใช้แล้วแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็จะเกิดผลสัมฤทธิ์คือ “ชัยชนะ”

 

 

Comments

comments