68. พระ เทพ เจ้า ที่ผมนับถือ

พระ เทพ เจ้า ที่ผมนับถือ

ศ. ดร. อุทิส ศิริวรรณ

๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๕

 

Buddha Image Power

พลานุภาพของพระแก้วมรกต


 

พระแก้วมรกต ประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นพระที่ผมนับถือมายาวนาน โดยชีวิตเกี่ยวพันกับพระแก้วมรกตมาโดยตลอด ตั้งแต่ครั้งทรงตั้ง “เปรียญธรรม ๖ ประโยค” โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เสด็จมาทรงตั้ง “เปรียญ” ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดให้เข้ารับพัด ป.ธ. ๖ ในพระราชพิธีบำเพ็ญกุศลวิสาขบูชาปี ๒๕๒๙ เบื้องพระพักตร์แห่งพระแก้วมรกต ต่อมาในปี ๒๕๓๓ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน โปรดให้เป็น “สามเณรนาคหลวง” ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี ๒๕๓๓ ก็ได้อุปสมบท ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรเช่นกัน โดยในปีนั้นมีสมเด็จพระธีรญาณมุนี (ธีร์ ป.ธ. ๙) วัดปทุมคงคา เป็นสมเด็จพระอุปัชฌาย์ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ป.ธ. ๙) วัดชนะสงคราม เป็นสมเด็จพระกรรมวาจาจารย์ และสมเด็จพระมหารัชชมังคลาจารย์ (ช่วง ป.ธ. ๙) วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เป็นสมเด็จพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า “อุทิตเมธี”  แปลว่า “นักปราชญ์ที่ผู้คนยกย่องนับถือ” ภายหลังจากอุปสมบทแล้วได้ไปจำพรรษา ณ วัดราชบุรณะ (วัดเลียบ) สะพานพุทธ

ปีที่ผมเรียนปริญญาเอกคือปี 2540 ปีนั้นเป็นปีเกิดมหาเศรษฐกิจภัยครั้งร้ายแรงและรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ค่าเงินบาทลอยตัวขึ้นไปสูงถึง 54 บาทเศษ ค่ำคืนหนึ่งในเมืองนิวยอร์ก ผมต้อง “ตัดสิน” ทางเดินชีวิตว่า จะเลือก “ทำงาน” ตลอดไป โดยไม่ต้องเรียนต่อปริญญาเอก คือ “ล้มเลิก” โครงการไปเลย หรือจะเรียนต่อ “ปริญญาเอก” คืนนั้น ผมเกิด “นิมิต” ฝันตอนใกล้แจ้งว่ามีเทวดารักษา “พระแก้วมรกต” พาผมไปยืนตรงเบื้องหน้าพระแก้วมรกต และบอกว่าท่านเป็น “เทพ” รักษาองค์พระแก้วฯ ท่านให้คำแนะนำในความฝันว่าให้เรียนต่อ อย่าหยุด แล้วท่านจะช่วย แล้วผมก็ตกใจตื่น หลังจากนั้น ผมก็ได้ข่าวดีจากทางกลุ่มผู้สนับสนุนทางกรุงเทพฯ โดยเฉพาะ “พระธรรมกิตติวงศ์” เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม กรุงเทพฯ ท่านขวนขวายหาแหล่งทุนช่วยผมปีละ ๑ แสนบาทเป็นทุนประเดิมจาก “มูลนิธิพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว” ซึ่งเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเริ่มต้น จากนั้นผมได้กำลังสำคัญจาก “คุณสุขสันต์-คุณมนฑน์จิตต์เกษม-คุณรัตติยา จงพิพัฒน์ยิ่ง” กลุ่ม “โรงพิมพ์เลี่ยงเชียง” และได้กลุ่มนิตยสาร “ชีวิตรัก” และ “ภาพยนตร์บันเทิง” ให้เขียนบทความมาตีพิมพ์สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง และทำงานอื่นๆ อีก 3-4 งานต่อวัน ในที่สุดก็ถึงฝั่งฝัน ได้เป็น “ดร.” และได้มีชีวิตมาบำเพ็ญคุณประโยชน์เกิดนวัตกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม กระทั่งในปัจจุบันนี้

 

*หมายเหตุ: ที่เล่ามาเป็น “เรื่อง” ที่เกิดจากประสบการณ์และความเชื่อส่วนตัว โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลข้างต้น
อยากบอกว่า ความสำเร็จ นอกจากจะได้รับแรงบันดาลใจเกิดจากศรัทธาและความเชื่อแล้ว ตัวเราเองก็ต้องช่วยตัวเองเป็นสำคัญทั้งในด้าน การให้กำลังใจตัวเอง การปลอบขวัญตัวเอง การเตือนสติตัวเอง การทำใจให้เข้มแข็ง การมุ่งมั่นไปข้างหน้าด้วยการไม่คิดอะไรมาก ทำงานหนัก ทำงานให้มากกว่าเดิม ไม่คิดฟุ้งซ่าน ความอดทน ทั้งทนต่ออารมณ์คนคิดลบ พูดลบ อิจฉา ริษยา ใส่ความ ใส่ร้าย การมีความเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ พร้อมจะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค ไม่ท้อ ไม่เหนือย ไม่หวาด ไม่หวั่น ไม่หนีปัญหา แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จในท้ายที่สุด

สิ่งหนึ่งที่ผมทำเป็นประจำ ทำสม่ำเสมอคือ “ทำบุญ” ต้องทำให้ครบ ทั้งทำบุญ ให้ทาน ตักบาตร รักษาศีล ๕ และเจริญภาวนาให้เกิดปัญญา ทั้ง “สุตมยปัญญา” ปัญญาเกิดจากการอ่าน การฟัง การเดินทาง “จินตามยปัญญา” ปัญญาเกิดจากการใช้ความคิด คิดจากสิ่งที่เห็นตามสถานที่่ต่างๆ ที่เดินทางไป ก็จะทำให้เกิดความคิด ปิ๊งแวบ และ “ภาวนามยปัญญา” ปัญญาที่เกิดจากการนำปัญหาต่างๆ มาใช้สติ ใช้สมอง ใช้ใจ ช่วยกันคิด ช่วยกันวิเคราะห์ ช่วยกันเปรียบเทียบ ช่วยกันตีความ จนนำไปสู่ “ความสำเร็จ” ที่วัดผลได้เชิงเศรษฐกิจและสังคม ในท้ายที่สุด

 

Deva Power
พลังอำนาจแห่งพระคเณศเทพเจ้า

พระคเณศองค์นี้  ตามประวัติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาจากประเทศอินโดนีเซีย

สถานที่่ประดิษฐาน: พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (วังหน้า) ติดกับรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ตรงข้ามสนามหลวง
วันหยุด: ปิดเฉพาะวันจันทร์-อังคาร และวันนักขัตฤกษ์ วันพุธ-อาทิตย์ ไปสักการะได้ทุกวัน ในวัน-เวลาราชการ

 

นี่คือ “เทพเจ้า” ที่ผมนับถือ โดยเฉพาะปรัชญา “Faster Model” ขจัดปัดเป่าอุปสรรคต่างๆ ให้จบลงในเวลาอันรวดเร็ว
แก้ปัญหาต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงได้ในเวลาอันสั้น และประสบความสำเร็จ
ใช้ปรัชญา “พระคเณศ” แล้ว จะสร้างฐานะได้มั่นคง สร้างความมั่งคั่งได้ผลจริง ภายในระยะเวลาอันสั้น

 

เรียนด้วยความเคารพว่า เดิมผมเคยมีอคติ ต่อต้าน รู้สึกไม่ดีกับ “เทพ” ต่างๆ เพราะผมอยู่ในสภาวะแวดล้อมของครูบาอาจารย์ที่เป็น “พุทธแบบวิทยาศาสตร์” ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือทั้ง ท่านพุทธทาส ท่านปัญญานันทะ ศ. พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นนัก “ตรรกศาสตร์”  แต่ต่อมา เมื่อผมมีโอกาสเดินทางไปเรียนปริญญาโทที่อินเดีย แต่เรียนไม่จบเพราะอินเดีย “รบ” กันตลอด บังเอิญผมไปอยู่รัฐ “ปัญจาบ” ที่รบกันทั้งปี ในที่สุด ก็เลย “ออกเดินทาง” ทั่วอินเดีย ได้มีโอกาสไปพบ ไปเห็น “เทพ” ต่างๆ และภายหลัง เมื่อมา “เปิดใจ” ศึกษาเรื่อง “เทพ” ก็พบว่า ถ้าหากเรามีความคิด มีความฝัน มีจินตนาการ แล้วมี “เทพ” เป็นแรงบันดาลใจ  ก็จะทำให้เกิด “ศรัทธา” เมื่อศรัทธาแน่วแน่แล้ว ก็สามารถสำเร็จได้ในท้ายที่สุด ผมเลือกที่จะนับถือ “พระคเณศ” เพราะศรัทธาท่านว่าเป็นต้นแบบFaster Model ทำงานด้วยหลักการคือ “ใช้สมอง” ” ใช้ใจ” “ใช้การข่าวสารสนเทศ” ในการแก้ปัญหาที่ยากจะแก้ไข ต่างๆ นานา จนสำเร็จ สำคัญที่สุด ท่านเป็นเทพที่ “กตัญญู” สูง ตรงกับสิ่งที่ผมคิด เวลาผมดูคน คบคน ผมจะดูภูมิหลังอย่างหนึ่งคือ เขาหรือเธอ “กตัญญู” รู้คุณหรือไม่ และผมเชื่อเสมอว่า คนที่ “ไม่ลืม” ถิ่นเคยอยู่ อู่เคยนอน หมอนเคยหนุน บุญคุณที่คนทำให้แก่ตัว  เขาหรือเธอ ก็จะเจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นเดียวกับ “พระคเณศ” ที่กตัญญูต่อพระแม่อุมา จนถูกพ่อคือ “พระศิวะ” ฟันเศียรขาด ต้องหา “เศียรช้าง” มาต่อ ยอม “คอขาด” เพื่อแม่ นี่คือตัวอย่างที่ดีของความ “กตัญญู” พ่อคือพระศิวะ จึงประทานพรว่า มันผู้ใดจะขออะไรจากกู ต้องเริ่มต้นการขอพรที่ “พระคเณศ” ก่อน แล้วค่อยมาขอ ก็จะได้รับการประทานพรให้สำเร็จตามที่อธิษฐานจิตขอไว้

Kings’ Power พลังอำนาจแห่งบุรพกษัตริยาธิราชเจ้า

 

บุรพกษัตริย์ ที่ผมนับถือมีหลายพระองค์ ที่ผมอยู่ใต้ “ร่มพระบารมี” กษัตริย์แต่ละพระองค์ทรงแสดงกฤษฎาภินิหาร ปกปักรักษาดูแลผมให้เจริญรุ่งเรืองรุดหน้ามาตลอด

เริ่มจากบุรพกษัตริย์พระองค์แรก ที่ผม “สำนึก” ในพระมหากรุณาธิคุณ เพราะพระองค์ท่านเสด็จมาช่วยผมในยามยากในคราวชีวิต
พบวิกฤตครั้งสำคัญขณะกำลังจะเริ่มเรียนปริญญาเอกในปี 2539 เงินทุนประเดิมที่หาไว้กว่า 2 ล้านบาทในช่วงปี 2537-2539
จมหายไปกับหุ้น “เอกธนกิจ” จากกว่า 2   ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 5 หมื่นกว่าบาท แล้วจะเรียนต่อให้สำเร็จ ดร. จากสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร? แต่ “ปาฏิหาริย์” ก็เกิด

วันหนึ่ง ผมนำเรื่องนี้เข้าหารือ ขอข้อเสนอแนะจากพระอาจารย์ที่ผมเคารพและนับถือคือ พระเดชพระคุณ พระธรรมกิตติวงศ์ ราชบัณฑิต วัดราชโอรสาราม ท่านฟังเรื่องราวต่างๆ จากผมแล้ว ท่านบอกว่าต้องใช้วิธี “กฐิน ผ้าป่า” เริ่มจากมีทุนประเดิมก่อน ท่านจะประเดิมให้เป็นรายแรกด้วยทุนจาก “มูลนิธิพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว”
หากใครอยู่ที่เมืองฟอร์ธลอเดอร์เดล แวะเยี่ยมห้องสมุดวิทยาลัยบริหารธุรกิจ W. Huizenga Graduate School of Business
and Entrepreneurship จะพบว่า คำประกาศเกียรติคุณ ผมระบุถึง “King Rama III Foundation”  ไว้ในตัวเล่มดุษฎีนิพนธ์

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณจาก”มูลนิธิพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว” ให้ได้รับทุนพระราชทาน “บางส่วน” จนสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้านบริหารธุรกิจระหว่างประเทศ จากประเทศสหรัฐอเมริกาจนสำเร็จแบบ “ไม่น่าเป็นไปได้”
จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมเคารพ สักการะ ซาบซึ้ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นล้นพ้น

ผมมาทราบภายหลังว่า สาขาที่ผมไปเรียนต่อคือ “บริหารธุรกิจระหว่างประเทศ” ซึ่งเป็น “พระชนมชีพ” ทั้งพระองค์ของพระองค์ท่าน ชีวิตคน บางครั้งก็จะเผชิญเรื่องราวลี้ลับ มหัศจรรย์ จนยากแก่การ “คาดเดา”  “คาดคิด” หรือ “คาดการณ์”

 

 


พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น “เจ้า” เป็นบุรพกษัตริย์อีกพระองค์ที่ผมน้อมนำ
“ข้อคิด” หลักการทำงานของพระองค์ท่าน “ปกเกล้าปกกระหม่อม” ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง

ผมเอง สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่านเป็นล้นพ้น อาจารย์บางท่านบอกผมว่า
ท่านคือ “พระสยามเทวาธิราช” ที่ทรงปกปักรักษาสยามดินแดนอาณาเขตประเทศไทยในห้วงเวลานี้
นั่นเป็น “ตำนาน” เรื่องเล่า ที่ยากจะสัมผัส แต่ที่ผมจะเล่าในวันนี้เฉพาะในประเด็นที่ “สัมผัส” และ “แตะต้อง” ได้

พระองค์ทรงเปิดวิสัยทัศน์ เปิดมุมมองใหม่ผม 2-3 เรื่อง
เรื่องแรกคือ “ภาษา” คนเราต้องเรียนรู้ภาษาที่เป็นสากลคือ ภาษาอังกฤษ
เดิมชีวิตในกำแพงวัด ภาษาอังกฤษ ยังเป็นภาษา “ต้องห้าม”  ผมบังเอิญเป็น “นักอ่าน”
ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ท่านบ่อยๆ ก็เลยได้ความรู้ว่า คนเราต้อง “เปิดตัว” “เปิดใจ”
พระองค์เองทรงมี “เพื่อน” ทั้งบาทหลวง นักธุรกิจ นักการทหาร นักการเงิน นักกฎหมาย นักภาษา ต่างชาติ ต่างศาสนา
ก็เลยเป็น “บรมครู” ที่ผมต้องขวนขวายเรียน “ภาษาอังกฤษ” เพื่อการสื่อสาร

เรื่องที่ 2 คือ “วิทยาศาสตร์” คนเราจะศึกษาค้นคว้าเรื่องใด ต้องตั้งใจเรียนด้วยเหตุด้วยผลอย่าศรัทธา จน “งมงาย”
พระองค์ท่านทรงเป็น “ครู” ผมเรื่องวิทยาศาสตร์ อย่างมงาย อย่าไร้เหตุ ไร้ผล จงทำงานด้วยหลักการ อย่าใช้แค่
สามัญสำนึก ดุลยพินิจ ความคิด ความเห็น แต่จงใช้ “เหตุผล” ให้มากที่สุด ฟังความรอบข้างให้มากที่สุด

เรื่องที่ 3 เรื่อง “เทพยดาฟ้าดิน” และ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์”  พระองค์ท่านเป็น “ครู” ด้านความคิด
ทำให้ผมเชื่อว่า จังหวะ โชค และ ชะตาแห่งชีวิต บางครั้งให้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องทำอะไร ย้ำว่า “บางครั้ง”
ปล่อยให้  “เทพยดา” ดลบันดาล ชักนำ นำพาไป  ประทานพร ผ่อนหนักให้เป็นเบา ผ่อนร้ายให้เป็นดี
พระองค์ท่าน ทรงมี “พระดี” คือ “พระไพรีพินาศ” ทีทำให้หมู่ศัตรูปัจจามิตร พ่ายถอย แตกกระฉานซ่านเซ็น
คนเรา ต้องมี “เทพ” คนดีต้องมีผีคุ้ม อย่าเชื่อมั่นตัวเองมากเกิน อย่าหลงตัวเอง ทำตัวธรรมดา ติดดิน
แล้ว “เทวดา” รักษาตัว ก็จะนำพาเราไปพบแต่สิ่งดีๆ

 

พลังอำนาจ
พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี


ใน “คเณศคฤหาสน์” จะมีมุมหนึ่งที่ผมมี “องค์” พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ไว้สักการะบูชา
“เจ้า” อีกพระองค์ที่ผมนับถือคือ
“พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”
พวกเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ในยุคนี้ได้ เพราะ “พระองค์ท่าน” น้อยคนนักจักรำลึกถึง
พระเดชพระคุณของพระองค์ท่าน แต่ผมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาสามารถของพระองค์ท่านมาโดยตลอด
โดยเฉพาะ “วรรคทอง” ของพระองค์ท่านที่ “เป็นอมตะ” คือ

ตั้งใจจะอุปถัมภก
ยอยกพระพุทธศาสนา
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา
รักษาประชาชนแลมนตรี

ผมศึกษาค้นคว้า ตำนาน ชีวิต และพระราชประวัติพระองค์ท่านไว้เชิงลึก ผ่านเอกสารจำนวนมาก
วันหนึ่งจะนำออกเผยแพร่สู่สังคม

สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากชีวิตพระองค์ท่านคือ “การถูกใส่ร้าย” การตกเป็น “จำเลย” สังคม
โดยที่ไม่มีโอกาส “ชี้แจง” ข้อเท็จจริง

ผลงานที่พระองค์ท่านทรงทำไว้สำเร็จ มีหลายเรื่อง กรุงรัตนโกสินทร์ มีวันนี้ได้เพราะพระองค์ท่าน
พระแก้วมรกต มาประดิษฐานเมืองไทยได้ จนกลายเป็นแก้วจินดามณี ค่าควรเมือง
ไทยเจริญรุ่งเรืองได้เพราะพระองค์ท่าน ทั้งศาลหลักเมือง ทั้งพระประธานในพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม
ทั้งวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พวกเรามีความสุขความเจริญได้เพราะ “รัชกาลที่ ๑”

บางทีต้องมองข้าม ประเด็น “คลุมเครือ” ด้านประวัติศาสตร์ แล้วจะพบ “เหรียญอีกด้าน” ที่มั่นคง และมั่งคั่ง อย่างแท้จริง

สมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ ๖
พระเจ้าแผ่นดินผู้แบ่งภาคมาจากเทพยดาผู้เป็นใหญ่ทั้ง ๑๑ พระองค์คือ
พระพรหม พระพิษณุ พระอิศวร พระพาย พระพิรุณ พระเพลิง พระยม
พระไพศรพณ์ พระอินทร์ พระจันทร์ และ พระอาทิตย์
หรือที่คุ้นเคยกันในนาม “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี”
หรือ “พระเจ้าตากสินมหาราช”

 

“เจ้า” อีกองค์ที่ผมนับถือคือ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี”
หรือ พระเจ้าตากสินมหาราช

ประเด็นที่ “นับถือ” คือ ผลงานของพระองค์ท่าน ไม่มีท่าน เราก็จะไม่มีถิ่นที่อยู่ ไม่มีอู่ให้นอน
ไม่มีหมอนนอนหนุน กินอิ่ม นอนหลับ  พวกเรามีวันนี้ได้ เพราะ “ผล” แห่งงานหนักชั่วพระชนมชีพของพระองค์ท่าน

พระราชปณิธาน พระเจ้าตากสินมหาราช

อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวาย แผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม

ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญ สมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา

คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน ฯ

(จากจารึกในศาลพระเจ้า ตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม)

ปฐมเหตุการนับถือ คือ “การใช้ชีวิต” ถ้าเราศึกษาจากประวัติ จะพบว่า “พระองค์” เป็นคนชอบ “เสี่ยง”
ตอนเด็กอยู่ในวัดกับท่านเจ้าอาวาส ก็ชวนเด็กวัด ชวนเณรด้วยกัน เล่น “ถั่ว” เล่น “โป” การพนันต่างๆ
ถูกจับไปมัดไว้ริมแม่น้ำ น้ำท่วมตัว แต่บุญญาภินิหารจะได้เป็นใหญ่เป็นโตภายภาคหน้า ไม้ก็หลุดลอย
รอดจากจมน้ำตาย ชั่วชีวิต แสดงความ “กล้าหาญ” “ชาญชัย” หลายครั้ง หลายรอบ
ขวนขวายเรียนรู้ภาษาต่างๆ ในอาเซียน จนสามารถสื่อสารได้ทั้ง ภาษาจีน ภาษาญวน ภาษาแขก ฯลฯ
มีอุปนิสัยชอบทำ “การค้า”  เป็นพ่อค้ากองเกวียนเดินทางเรื่อยไป จนขึ้นไปอยู่ถึงเมือง “ระแหง”
และได้ครองเมือง “ตาก” จนได้กลับมากอบกู้อิสรภาพคืนแก่ “กรุงศรีอยุธยา”
ทรงเป็นตัวอย่าง “น้ำพระทัย” เสียสละ สุขเพื่อส่วนรวม อยู่ในวังเล็กๆ พอเหมาะ พอควร พอเพียง พอประมาณ จริงๆ
ทรงเห็นแก่ “ผลประโยชน์ประเทศชาติ” เป็นที่ตั้ง ประโยชน์สุขส่วนตัว มาภายหลัง
พร้อมจะเปลี่ยนแปลง พร้อมจะถ่ายโอนอำนาจให้แก่ผู้มีบุญที่สามารถทำการสืบต่อจากพระองค์ท่านได้
ไม่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่ผูกใจเจ็บ เสร็จแล้วเสร็จเลย เน้น “ภาวนา” ทำจิตใจให้สะอาด สงบ สว่าง
เมื่อถึงเวลาอันสมควร ก็ทรง “สละ” ทุกสรรพสิ่ง ออกเดินทางแสวงหา “สัจธรรม” ชีวิต ในรูปแบบที่เหมาะสมกับพระองค์ท่าน
ไม่ทรงยึดติดใน “ยศถาบรรดาศักดิ์” ทรงเป็น “ลูกกตัญญู” ดูแล “แม่นกเอี้ยง” จนถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิต
แต่สิ่งที่พระองค์ท่านทรงโชคร้ายเหมือนรัชกาลที่ ๑ คือ ยังมีคนบางกลุ่ม “หวาดกลัว” “หวาดระแวง”
กลัวท่านจะมี “อำนาจ” จึงใช้รัฐประศาสนนโยบาย  “ตัดหวายอย่าไว้หน่อย ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก” นับเป็นการ
“โหดร้าย” “โหดเหี้ยม” อย่างไม่น่าเชื่อต่อ “กรมหลวงกระษัตรานุชิต” หรือ “หม่อมเหม็น” ที่มีศักดิ์เป็นลูก
“เจ้าตาก” กับหลานตาคือ “รัชกาลที่ 1”

อย่างไรก็ดี ประเด็น “ความหลัง” และอดีตต่างๆ ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องศึกษาค้นคว้าวิจัย วิจารณ์ วิพากษ์กันต่อไป
แต่ผมก็เห็นร่อยรอย “อะไร” บางอย่างจากเรื่องราวในประวัติศาสตร์ว่า “อภัย” และ “อโหสิ” เท่านั้น จึงจะทำให้ประเทศชาติ
เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน ประวัติศาสตร์มีไว้เพื่อให้ “เรียนรู้” มิใช่เพื่อ”จองเวรจองกรรม”

Comments

comments