64. ดีแค่ไหน ถึงจะพอใจ

ดีแค่ไหน ถึงจะพอใจ

อุทิส ศิริวรรณ

๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕

update: 13:23 น.

ผมเลี้ยงแมวไว้หลายตัว แมวได้ “สอน” ปรัชญาชีวิตผมหลายเรื่อง
ผมได้สังเกต รูปร่าง ผิวพรรณ สีสัน เชื่อดังโบราณว่า แมวแต่ละสายพันธุ์
“มีสกุล” ก็มี “ไร้สกุล” ก็มาก โดยเฉพาะแมวจรจัด

แมวอย่าง “วิเชียรมาศ” “ศุภลักษณ์” กลุ่มนี้ มีสกุล น่าเลี้ยง

Double Heng

แมวศุภลักษณ์/วิเชียรมาศ

ลักษณะ 9 แต้ม ปากคาบแก้ว คอสวมสร้อยเพชร
พบเจอที่ไหน รีบ “เลี้ยง” เป็นสัตว์มงคล “เสริมดวง” เจ้าของผู้เลี้ยง

เฮง เฮง แมวไทยแท้  กำลังหม่ำ “ทุเรียน”

แมวไทยแท้ 9 แต้ม สีน้ำตาล ประวัติศาสตร์มีหลักฐานบันทึกว่า
เป็นแมวที่ “พระนเรศวรมหาราช” “พระเอกาทศรถ” และ “พระสุพรรณกัลยา”
นำไปเลี้ยงเป็นเพื่อนครั้งเป็นตัวประกันที่เมืองหงสาวดี ต่อมาพม่านำไป
เผยแพร่ในเวทีโลกเรียกว่า Burmese Cat เมืองไทยเรียก แมว ๙ แต้ม
แมวศุภลักษณ์ แมววิเชียรมาศ (สายพันธุ์น้ำตาล) Browny Cat

แมวขาวมณี ขาวปลอดทั้งตัว ประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าเป็นแมว “โปรด”

ของเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ (ฟอลคอน) สมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

มูลค่า แสน ตำลึง เป็นแมว “เสริมดวง” ผู้เลี้ยงให้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง Faster Model เช่นกัน

แมวสามสี เป็นอีกสายพันธุ์ที่น่าเลี้ยง แต่ต้องเป็นตัวผู้ ลำตัวยาว หางขอด จึงจะเข้าตำรา

วกเข้า “กรณีศึกษา” เรื่องแมวต่อ

แมวจรจัดตัวเมียที่ผมเลี้ยง ทั้งที่ไม่อยากเลี้ยงจำใจ จำเป็นต้องเลี้ยง

ไม่เคยหามาเลี้ยง แต่เมื่อมาอาศัยอยู่ด้วย ก็ต้องดูแล รับผิดชอบ มีชื่อ “นำลาภ”

นิสัยเสียคือชอบผลิตลูกปีละหลายครอกมาให้เลี้ยงให้เป็นภาระตลอด

เป็นแมวด่าง ดำ ปน ขาว แมวแบบนี้ ไม่น่าเลี้ยงอย่างยิ่ง
มีแง่คิดว่า แมวก็เหมือนคน ถึงเวลาหนึ่งต้องทบทวนว่า คนแบบนี้
เราสมควรจะคบต่อ หรือควรจะเลี้ยง หรือควรจะดูแล สนับสนุนส่งเสริมต่อไปหรือไม่?
คนเราเมื่อ “ทน” กับคนที่นิสัยแย่ๆ จนถึงที่สุดไม่ได้แล้ว
ผมมีหลักให้คิดว่า “อย่าทน” ต่อไป เลิกได้ก็เลิก คบไม่ได้ก็ไม่ต้องคบ
อยู่ด้วยไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่ น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอ ต่างคนต่างอยู่
ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างไป ดีกว่าจะอยู่แบบ “แตกต่างแตกแยก”

 

คนเรามีทางไป มีวิถีที่ต้องเดินกันทั้งนั้น ไม่ต้องคิดแทนเขาหรือเธอ

ว่าขาดเราแล้วเขาหรือเธอจะอยู่ไม่ได้ ทุกคนมีทางไป มีงานทำกันทั้งนั้น

ไม่ต้อง “ทน”เราเลือกทางเดินเราได้ อย่า “ทน” กับคนไม่ดี งานไม่ดี ทีมงานที่ห่วย

คบกับคนที่ “เจริญรุ่งเรือง” ให้คบต่อไป คบใครแล้ว “อับ” “เฉา”

“มัวหมอง” “ซวย” อย่าคบ

กับคนที่ไปมาหาสู่แล้ว นำเรื่อง นำคดี นำความมาสู่ ไม่ว่าจะเป็นสถาบัน
มหาวิทยาลัย หรือลูกศิษย์ ลูกหา ก็รีบ “ยุติ” สายสัมพันธ์ทุกเรื่อง
จงคบ จงเลือก มหาวิทยาลัย สถาบัน องค์การ สถานที่ทำงาน บรรยากาศทำงาน

และสิ่งแวดล้อม ทีมงาน รวมถึงคนร่วมงาน คนที่เราคบหาสมาคม  “คบแล้ว” เจริญ

รุ่งเรือง คบแล้วสบายใจ
อย่าคบคนที่คบแล้วเดือดเนื้อ ร้อนใจ มีเรื่อง มีราว ให้กลุ้ม ปวดหัวตลอด
ชีวิตคน “เลือก” ได้ครับ เหมือนเลี้ยงแมว เราก็เลือกแมวที่จะเลี้ยงได้
อย่าคิดว่า “เลือก” ไม่ได้ !!!
“นำลาภ” ส่งเสียงดุ ร้องขู่ จะเป็นจะตายให้ได้ เมื่อเอาอาหารไปให้กิน

เห็นหน้าก็ “ขู่” ตลอด ทั้งที่เรา “ดี” ด้วย แต่ไม่เคยดีตอบ

 

มีแง่คิดว่า เหมือนคนมีการศึกษาสูงๆ  บางคน เหมือนเจ้าของ “มหาวิทยาลัยชื่อนิรนาม” ตั้งอยู่แถบเทือกเขาโกงสะบัด ตำบลตั้งใจอยู่ อำเภอตั้งใจโกง กยศ.

จังหวัด ตั้งใจเปิดเพื่อฉ้อโกงแพทย์เก็บค่าเรียนได้แพง

สถาบันการศึกษาระดับสูงที่ดู

เหมือน “สูง” แต่จิตใจ “ต่ำทราม” เลวทรามระดับ “ที่สุด”  ในชีวิตไม่เคยเจอกลุ่ม

มาเฟียการศึกษาที่ “ชั่ว” เหมือนคนกลุ่มนี้ ตั้งแต่ระดับ “นายกสภา” ยันเจ้าของและ
“อธิการ” ยกเว้น “คณบดี” ดีๆทั้งนั้น แต่อนิจจา!!! ต้องมาพายเรือให้โจรนั่งกัน!!!

 

คนที่ผมคิดว่า “ดีๆ” ที่ผมรู้จัก เห็น ตกงาน ไม่มีงานทำ ถูกจับ ถูกควบคุม

ไปทำที่ไหนก็ถูกไล่แห่ ไปทำกับใครก็ถูกเล่นงาน ก็สงสาร หางานให้ทำหาเงินให้ใช้

หาสิ่งดีๆ สนับสนุนส่งเสริม ให้อยู่ให้กิน ให้ทำ ก็ด้วย “สงสาร” คิดว่าพวกมันจะ
“กลับตัว กลับใจ กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี” เหมือนที่สังคมคิด แต่ความจริง
โจรก็คือโจร นิสัยก็ยังเป็นโจรอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางจะ “สำนึก” กลับใจเป็นคนดีหรอก

ครับจะบอกให้!!!
แต่คนเหล่านี้ ดีด้วย แต่แววตาไม่ยักกะดี

สีหน้า ท่าทาง อากัปกิริยา แววตา สายตา อาฆาต เคียดแค้น หมั่นไส้ ชิงชัง จับผิด หาเรื่องตลอด

เป็นแง่คิดว่า ถึงเราดีแสนดีกับมันแค่ไหน มันก็ด่า ใส่ร้าย ป้ายสี

เมื่อ “สะสม” ความผิดจนถึง “ระดับ” ก็ต้องส่งเรื่องให้ “ศาล”  ลงโทษ ลงทัณฑ์

จำคุก 4 เดือน ปรับ 8 พันบาท และเรียกค่า “เสียหาย” ฐาน “ปากหมา”

อีก 10 ล้านบาทมันจะได้ “เข็ดหลาบ” หลาบจำ และคนเหล่านี้ ปลิ้นปล้อน

กะล่อน หลอกลวงพวกโง่ๆ รอบตัวไปเรื่อย แก้ตัวไปวันๆ วันต่อวัน

พูดเรื่องนี้ไปเรื่องโน้น
พูดเรื่องโน้นก็ไปเรื่องนี้  ไม่มีทางที่มันพวกนี้จะ “สำนึก”

เป็นแง่คิดว่า คนมีการศึกษาสูงๆ “หลอกเก่ง” “ลวงเก่ง” ให้ระวังคนเหล่านี้

ประเทศชาติล่มสลาย จิ๋นซีฮ่องเต้ต้องเผาตำราวิชาการทิ้ง ก็เพราะมหาวิทยาลัย

และนักวิชาการนักธุรกิจศึกษาที่ทำเรื่อง อัปรีย์ จัญไร ทำตัวเป็นอาชญากรการศึกษา

ก่อกรรม ทำเข็ญแก่อาณาประชาราษฎร์ตาดำๆ ใสซื่อ เยี่ยงนี้

 

คนเหล่านี้ต้องให้ “เสียเงิน เสียทรัพย์ เสียเวลา เสียชื่อ” ต้องให้รับเคราะห์ รับ

โทษ รับกรรม  ต้องจับไป “ขึ้นศาล” ไปพูดเสียงสั่น ไปปั้นน้ำเป็นตัวแต่งเรื่อง

แต่งราว แต่งนิยายโกหกให้ศาลจับได้ เพราะทำเรื่อง “ไม่เนียน”

ไปตีแผ่ความเท็จให้นักศึกษา

รับรู้ ให้สังคมเห็นความเลวๆ ของมัน และพวกมัน จึงจะ  “สาสม”
คนพาล คนอาสัตย์ คนอาธรรม์เหล่านี้ ต้องให้รับกรรมที่ก่อให้ “สาสม”
เท่านั้น ไม่ต้อง “อภัย” ไม่ต้อง “อโหสิ” เพราะความผิดพวกมันเกินระดับ
จะให้อภัย ต้องให้ “รับกรรม” ให้สา ให้สมกับความผิดที่ก่อ จะได้ไม่ไป
ทำผิด ทำบาป ทำโทษ ทำกรรม ฉ้อฉล ฉ้อโกง คนดีอื่นๆ ในสังคมให้เดือดร้อน
ต่อไป

 

แมวไม่ดี ก็เหมือนคนไม่ดี เอาไม้ไล่ ฟาดให้หนีไกล ให้ห่างไปเลย

อย่าไปดีด้วย อย่าคิดว่าพวกคนเลวจะสำนึก

คนเสมือนดีแต่เลว เหล่านี้ มันใช้ ” สำนึก”

ใช้ “ความรู้สึก” ใช้ “สัญชาติญาณ”  มิได้ใช้ “ความคิด” หรือ “เหตุผล”

ไม่จำเป็นต้อง “ใช้เหตุผล” ไม่จำเป็นต้อง “คุยดีด้วย” ให้ใช้กฎหมายบ้านเมือง

ลงโทษตาม “กฎ” ผิดว่าไปตามผิด ไม่ต้องคิดด้วยว่าพวกมันจะ “เข็ดหลาบ”

คนเลวส่วนใหญ่ มันก็เลวอยู่วันยังค่ำ ธรรมะล้างกิเลสหมักหมมในสันดานพวกมันออก

ยากเหลือเกิน ไม่ต้องสั่ง ไม่ต้องสอน เพราะ “เหมือนทัพพีไม่รู้รสแกง” เหมือน
“เกลือไม่รู้ความเค็ม”

พวกฉ้อฉล ขี้โกง พวกคนชั่ว ไม่มีวันที่พวกมันจะสำนึกในเวลาสั้น

ต้องให้ “เลือดตกจากหัว” ต้อง “ติดคุกติดตะราง” ต้องได้รับคำพิพากษา

เป็น “นักโทษอาญา” มีคดีมีความผิดติดตัวจนวันตาย พวกมันก็ไม่มีทางสำนึก

เข็ดหลาบ หลาบจำ

ดังท่านเจ้าคุณนรฯ ว่า “คนเหล่านี้ ดีแสนดีแค่ไหนมันก็ติ ชั่วแสนชั่วแค่ไหนมันก็ชม”

ฉะนั้น เมื่อจะต้องทำอะไรกับ “คนชั่ว” ไม่ต้องทำดีกับพวกมัน

ต้อง “เข้มแข็ง” ต้องต่อสู้ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน” ไม่ต้องยอมมัน แล้วมันจะเข็ด
จะหลาบ จะกลัว จะไม่กล้ายุ่ง ไม่กล้ามาตอแยกับเราอีกต่อไป !!!

 

แมว “อกตัญญู” เหล่านี้ ก็เหมือนคนเนรคุณ ทั้งที่ผู้เลี้ยง รู้สึกสงสาร เห็นว่าหากินไม่

ได้ ไปบ้านไหนก็ไม่มีคนเอา ก็อยากเลี้ยง

แต่แมวก็เหมือนคนเนรคุณ ไม่สำนึก ไม่ซาบซึ้งบุญคุณคน ยังเย่อหยิ่ง จองหอง อวดดี

กร่าง คิดว่า “กูแน่” ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง  เหมือนหลายคนในสังคมที่พบ
เหมือนจะ “ดี” แต่ “พกดาบ” ไว้ด้านหลัง คนเหล่านี้ เลี้ยงให้ดีแค่ไหนก็ไม่เชื่อ
พร้อม “แว้งกัด” คนเลี้ยง
จะป้อนข้าวเอย น้ำเอย ปลาเอย อาหารเม็ดเอย อาหารกระป๋องเอย ให้อยู่ ให้กิน เต็ม

อิ่ม แต่ “นำลาภ” ไม่เคยขอบคุณ ไม่เคยซาบซึ้ง ไม่เคยพึงพอใจ พร้อมจะกัด
พร้อมจะทำร้าย “คนเลี้ยง”

ทุกวันนี้ก็ยังให้อยู่ ให้กินแต่คบแค่ “นอกรั้ว”

เลี้ยงแบบ “แมวเร่รอนพเนจร”  ไม่ถึงระดับ “แมวชั้นในรั้ว ไม่ถึงขั้น “แมวในขอบเขต

บ้าน” หรือ “เลี้ยงในบ้าน”

แมวพวกนี้ อยู่ดี สบายๆ ไม่ชอบ ชอบทำตัวตกระกำลำบาก ชอบหาเรื่องใส่ตัว นำ

ความเดือดร้อนให้ตัวเองเป็นประจำ
เป็นแง่คิดว่า  เลี้ยงแมว เหมือนเลี้ยงองค์กร เลี้ยงสถาบัน เลี้ยงคน เลี้ยงข้าทาสบริวาร

เลี้ยงเพื่อน เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน เลี้ยงศิษย์ที่ “ทำความเดือดร้อน” “ทำความเสื่อมเสีย”
“ทำให้อับเฉา” “ทำให้มัวหมอง”  ก็ไม่ต้องเลี้ยง ไม่ต้องเกี่ยวข้องด้วย
รีบ “ถอยห่าง” ออกมา จะดีกว่าทนอยู่ด้วยกันจนไม่มีทางไป

ส่วนแมวอีกตัวชื่อ “มารวย”  เป็นแมวตัวเมีย ๓ สี

ที่มาน่าสงสาร ถูก “เฉดหัว” ขับไล่ไสส่งมาจากบ้านอื่นพร้อมลูกๆ ๓ ตัว
“เงิน” “ทอง” “นาค”  ค่าหัวหนึ่งพันบาท อยู่บ้านสตรีนักธุรกิจเงินเดือนหลายแสนบาท
ทำบุญกฐินปีละเป็นล้าน ทำบุญตลอด แต่เกลียด “แมว” เป็นชีวิตจิตใจ
ตรงกันข้ามกับ “ภาพลักษณ์” อีกด้านที่ผมเห็น บางครั้งมนุษย์ก็มีแง่มุมด้านลึก

บางอย่างที่เรา “คาดไม่ถึง”
เธอตั้งค่าหัว “มารวย” ๑ พันบาท ให้นำไปฆ่าไปแกงที่ไหนก็ได้
แม่บ้านทำงานที่บ้านผมสงสาร ก็นำมาปล่อย เป็นภาระต้อง “เลี้ยง”
แต่นิสัยดี มารยาทดีทั้ง ๔ แม่ลูก เห็นหน้าแสดงความซาบซึ้ง ดีใจเมื่อได้เห็น

ขอบคุณเมื่อได้พบ
น่ารัก น่าเลี้ยง เลี้ยงแล้วชื่นใจ เลี้ยงแล้วสบายใจ ก็อยากเลี้ยง
สุภาพ เรียบร้อย อ่อนโยน อ่อนหวาน ทั้งแม่ลูก
เป็นแง่คิดว่า เหมือนคน คนที่นิสัยดี มารยาทดี รู้ที่ต่ำ ที่สูง สุภาพ อ่อนโยน คิดดี

ทำดี ก็น่าสนับสนุนส่งเสริมให้ได้ดิบได้ดี ได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
แต่คนที่ไม่เคยซาบซึ้ง ไม่เคยขอบคุณ ไม่เคยเห็นความดีที่เราทำให้ คิดลบ คิดร้าย

คิดไม่ดีตลอด
คนไม่รู้สำนึกบุญคุณคน ปล่อยให้เขาหรือเธออยู่โดดเดี่ยวดีกว่า

Leave them Alone!!!
ไม่ต้องพูด ไม่ต้องแนะนำทั้งสิ้น แล้วผมก็พบว่า สบายใจ

 

เมื่อเขาหรือเธอเดินจากไปจากชีวิตเรา

ชีวิตคนเรา  บางครั้งก็ต้องทำตัวแบบพม่า พม่าเจอกันก็ดีต่อกัน ดีให้เต็มที่
ดีให้ถึงที่สุด ประทับใจมิรู้เลือน ผมเองมีเพื่อนพม่าหลายคน เป็นเช่นนี้
คบแล้วสบายใจ ประทับใจ  แต่คนพม่าจะเหมือนกันหมดคือไม่ต้องมีบุญคุณต่อ

กัน จากกันแล้วก็จบ

บางครั้ง ก็ต้องนำ “วัฒนธรรม” พม่ามาปรับใช้ เพราะสังคมไทยวันนี้ คนที่ดี
คือคนที่สังคม “เอ๊ะ อ๊ะ” ส่วนคนที่ชั่ว สังคมสับสนยกย่องว่า “ดี” !!!

 

จะรู้ว่าใครดีหรือไม่ จริงใจ หรือคบเพราะเห็นแก่เงิน

 

ต้องคบกันไป  สักพัก ดีหรือเลว “ลาย” ก็จะออก จะรู้เอง เห็นเอง อัตโนมัติว่า

 

ใครดี หรือ “ไม่ดี” จริงดังที่ปากพูด ดัง “ดี เด่น ดัง” ที่พยายามคุยโว โอ้อวด

 

หรือไม่?

คบไปสักพัก ก็รู้เองแหละว่า

 

มาไม้ไหน มาทางไหน จะไปทางไหน แต่เราไม่ต้องไปด้วย  !!!

Comments

comments