194. แด่พระครูกิตติสุตาภิราม…ครูผู้เป็นยิ่งกว่าครู

 

S__2195580 (Mobile)

 

 

 

Phrakruekittisutapiram (Mobile)

 

 

คอลัมน์  How to Win


แด่พระครูกิตติสุตาภิราม…ครูผู้เป็นยิ่งกว่าครู

 

 

 

S__2195581 (Mobile)

ศาสตราจารย์  ดร. อุทิส  ศิริวรรณ

 

ตีพิมพ์ครั้งแรก หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์ คอลัมน์ How to Win

28 มกราคม 2558

ตีพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2  ที่นี่

10/6/2558


“จงคบหาคนที่นำพาเราไปสู่สถานะที่ดีกว่าเดิม”
โอปราห์ วินฟรีย์

 

 

 

          สัปดาห์นี้ ผมขับรถอยู่บนเส้นทางที่น่าจะเป็นเส้นขนาน ระหว่างบางขุนพรหม มุ่งตรงไปพนัสนิคม ก่อนจบทริปที่เมืองชลบุรี  
มีเหตุให้แวะไปรับ “ท่านมหาเดชา กิตติปัญโญ” วัดราชโอรส ซึ่งบังเอิญมาทำธุระที่วัดสามพระยา บางขุนพรหม และส่งข่าวให้ทราบขณะสอนปริญญาโทที่เวียดนาม ต้องกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงในความมีน้ำใจและเอื้อเฟื้อของท่าน การสนทนาธรรมระหว่างทางกับท่านกว่าหนึ่งวัน ได้ข้อคิดฉุกคิดน่าคิดหลายเรื่อง
ผมไม่ค่อยคุ้นเคยพื้นที่พนัสนิคมเท่าใดนัก แม้ว่านานกว่าสิบปีที่สอนหนังสือ ณ มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน ชลบุรี ก็วนเวียนอยู่แค่หนองมนอ่างศิลาเขาสามมุขหาดวอน เนื่องจากแต่ละวันภารกิจค่อนข้างรัดตัว
มูลเหตุที่ผมเดินทางไปวัดหน้าพระธาตุ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ก็เพื่อเคารพ “ครู” ท่านหนึ่งในชีวิตของผมนั่นคือท่านพระครูกิตติสุตาภิราม รองเจ้าคณะอำเภอพนัสนิคม และเจ้าอาวาสวัดหน้าพระธาตุ
การเดินทางครั้งนี้ ผมไม่คาดคิดไม่คาดฝันไว้ล่วงหน้าว่าครูของผมได้จากเป็นและจากตาย ไปแล้วไปลับไม่หวนกลับย้อนกลับหลัง เหลือเพียงเรื่องราวในอดีตตราตรึงไว้ในดวงจิต เป็นเพียงแค่ “ความทรงจำ”
          นึกถึงพระราชนิพนธ์ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5
          “เห็นหน้ากันเมื่อเช้า         สายตาย
          สายสุขอยู่สบาย              บ่ายม้วย
บ่ายยังรื่นเริงกาย            เย็นดับ ชีพนา
          เย็นอยู่หยอกลูกด้วย        ค่ำม้วยดับสูญ”
ครูผมเดิมชื่อ “ท่านมหาสมศักดิ์ ผ่องแผ้ว” ท่านเป็นครูตัวอย่างที่เป็นแบบแผนให้กำลังใจได้ดีเยี่ยม ใครได้สนทนาปราศรัยกับท่าน เป็นอันต้องเคารพ นับถือ ศรัทธา ลึกซึ้ง ซาบซึ้งและกินใจกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ผมโชคดีได้เรียนกับท่านเป็นปี จึงได้รับฟังตัวอย่าง การชี้นำ การชี้แนะ คำสอนที่รู้สึกฮึกเหิม เกิดแรงบันดาลใจ เป็นแรงใจให้ลุกขึ้นคิดและสร้างความฝัน เดินตามฝัน และกล้าที่จะทำความฝันให้เป็นความจริง
          ถ้าไม่ใช่เพราะคำสอนท่านที่สอนให้พึ่งตนเอง อย่าคิดพึ่งพาใคร จงเป็นตัวของตัวเอง ผมคงไม่เข้มแข็งจนกลายเป็น “นักเรียนนอก” ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนต่อปริญญาโทอีกใบที่นิวยอร์กสาขาการเงินการประกันภัยและมุ่งมั่นทุ่มเทเรียนต่อจนจบปริญญาเอกสาขาการค้าระหว่างประเทศจากรัฐฟลอริดาได้สำเร็จ
          ชีวิตในยามยาก อ่านหนังสือจนตาพร่ามัว แต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ…แว่นสายตาอันแรกในชีวิต ท่านก็พาไปตัดแว่น หนำซ้ำยังออกเงินให้ด้วย เป็นความประทับใจมิเคยลืมเลือน
น่าเสียดายว่า…ครูของผมด่วนจากไปด้วยโรคปัจจุบันทันด่วนด้วยวัยเพียงแค่หกสิบต้นๆ  เพราะท่านทุ่มเททำงานหนัก ชีวิตนี้เพื่องาน งานนี้เพื่อธรรม ธรรมนี้เพื่อสุขของปวงประชา
ครูของผม มีวิถีทางที่เรียกว่า  “สว่างมา สว่างไป” ท่านมาดี และจากไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่า ด้วยดวงจิตคิดแต่จะให้ของท่าน จะนำพาท่านไปสู่สุคติสัมปรายภพที่สูงกว่า  ผมเชื่อแน่วแน่ของผมอย่างนี้
ชีวิตของคนผู้หนึ่ง เป็นบทเรียนว่าครั้งหนึ่งในชีวิต สมควรได้อยู่ใกล้ชิด ได้พบปะ คบหาสมาคม กับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือผู้นำทางความคิด ผู้นำทางจิตวิญญาณ ผู้นำทางปัญญา ผู้นำทางสังคม  ที่ให้ข้อคิด แง่คิด และชักนำท่านไปสู่วิถีที่ดีกว่า สถานะที่สูงกว่า ความสำเร็จที่เหนือกว่า
ข้อเขียนชิ้นนี้ ขอน้อมบูชาพระคุณครู ในเดือนมกราคม เดือนแห่งวันครู
          ผมได้แต่หวังว่าท่านที่บังเอิญได้อ่าน คงได้มีโอกาสสละเวลาแวะไปเยี่ยมเยียนถามข่าวหา ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบ “ครู” คนใดคนหนึ่งในชีวิตของท่าน
          อย่าได้เจอสภาวะ  “ไม่จากกันวันนี้ก็จากกันวันหน้า ไม่จากเป็นก็จากตาย” เหมือนผมเผชิญ  เพราะเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวลึกในดวงจิต ยากจะพรรณนาหรือบรรยายให้ปรากฏครับ

 

 

 

Comments

comments