214. อิทธิปาฏิหาริย์

214. อิทธิปาฏิหาริย์

คอลัมน์   How to Heng 
21 ตุลาคม 2560

 “การบริการวิชาการสู่สังคมเป็นวิทยาทาน”

โดย

ศาสตราจารย์ ดร. อุทิส ศิริวรรณ
ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก ทวิปริญญา
Ph.D.  &  D.B.A. in Business Administration Program
Charisma University, Providenciales, TC
and Apollos University, Great Falls, Montana, USA

 

เพื่อนๆ นักขายครับ วันนี้จะนำเสนอ “ทฤษฎีเฮง” ในหัวข้อ “อิทธิปาฏิหาริย์”  

ในพระไตรปิฎก “ปาฏิหาริย์” แปลว่า  “การกระทำที่ให้บังเกิดผลเป็นอัศจรรย์” มีทั้งหมด 3 ข้อ ข้อแรก คือ “อิทธิปาฏิหาริย์”  แสดงฤทธิ์ได้ ข้อที่ 2 “อาเทศนาปาฏิหาริย์” ได้แก่  การอ่านความคิดทายใจคนอื่นได้ และข้อที่ 3 “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” คือข้อคิด คำคม คำสอนที่เปลี่ยนชีวิตได้ ทันที ทันใด ทันใจ !

วันนี้ ผมอยากชวนสนทนาและคุยเรื่อง “อิทธิปาฏิหาริย์”

เมื่อสองเดือนเศษผมได้เดินทางไปไหว้สักการะหลวงพ่อโตไดบุทสึ ที่เมืองนารา ประเทศญี่ปุ่น ตรงประตูทางออก มีพระอรหันต์ไม้แกะสลัก เก่าแก่ อายุหลายร้อยปี มีข้อความภาษาอังกฤษเขียนไว้ ความว่า “พระปิณโฑลภารทวาชะ”  คนที่ญี่ปุ่นเอง นับถือพระอรหันต์องค์นี้มาก เพราะเชื่อว่ากราบไหว้ขอพรท่านแล้ว จะประสบพบพานแต่ “โชคดี” แบบอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ดลบันดาลให้เป็นไป ให้สำเร็จในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เชื่อว่าจะทำได้ แต่สามารถทำให้เกิดมี และเป็นไปได้จริงๆ

เมื่อกลับเมืองไทย ผมได้ค้นคว้าประวัติ “พระอรหันต์นามว่าปิณโฑลภารทวาช” เพิ่มเติม  เห็นว่าน่าสนใจมาก  จึงขอนำประวัติโดยย่อมาเล่าให้ฟังโดยสังเขป ดังนี้

ตามประวัติ พระปิณโฑลภารทวาชะเถระ เป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าในสมัยพุทธกาล ชาวเมืองโกสัมพี ต่อมาได้ย้ายไปอาศัยในกรุงราชคฤห์ ท่านเป็น 1 ในพระอสีติมหาสาวก 80 องค์สำคัญของพระพุทธศาสนา ท่านได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าท่านเป็น “เอตทัคคะ” มีความล้ำเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน ผู้บันลือสีหนาท คือเปล่งเสียงร้องดัง ชัดถ้อยชัดคำ คล้ายพญาราชสีห์คำราม

ในบทบัญญัติสิกขาบทห้ามพระภิกษุแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ถ้าฝ่าฝืนจะต้องอาบัติทุกกฎ โดยมีพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นต้นบัญญัติผู้ก่อเหตุให้บัญญัติสิกขาบท เรื่องราวมีดังนี้

สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่วัดเวฬุวันมหาวิหารที่กรุงราชคฤห์ แคว้นมคธ มีเศรษฐีผู้หนึ่งได้รับปุ่มไม้แก่นจันทน์ที่มีค่ามากด้วยความบังเอิญ  มีความคิดที่อยากจะรู้ว่าใครคือพระอรหันต์จริงๆ เพราะมีพวกลัทธิต่างๆมากมายได้โอ้อวดกันว่าตนเป็นพระอรหันต์ ฉะนั้นเพื่อต้องการให้รู้ชัดว่าใครเป็นพระอรหันต์กันแน่ จึงนำปุ่มไม้แก่นจันทน์นี้มา “กลึง” เป็นบาตรแล้วนำไปแขวนไว้ที่ปลายไผ่ระดับความสูง 15 วา และประกาศไปทั่วเมืองว่า “ผู้ใดที่สามารถเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทน์ลงมาได้ ผู้นั้นก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เราและเหล่าครอบครัวจะยึดผู้นั้นเป็นสรณะเป็นที่พึ่งตลอดชีวิต”

ต่อมาบรรดาเจ้าลัทธิหรือเดียรถีย์ที่ชื่อเสียงทั้ง 6 คน ได้แก่ ปูรณกัสสปะ มักขลิโคสาล อชิตเกสกัมพล สัญชัยเวลัฏฐบุตร ปกุทธกัจจายะ และ นิครนถ์นาฏบุตรต่างก็อยากได้บาตรแก่นไม้จันทน์ จึงพากันแสดงตัวและมาขอบาตรแก่นไม้จันทน์กับเศรษฐี แต่ไม่สามารถแสดงอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ เศรษฐีก็ไม่ยอมให้และยื่นคำขาดว่าจะต้องเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทน์ลงมาให้ได้จึงจะเอาไปได้ เดียรถีย์ทั้ง 6 ต่างได้พยายามเกลี้ยกล่อมแล้วก็ไม่เป็นผล แม้จะใช้อุบายต่างๆเช่นทำเป็นแสร้งว่าตัวเองเหาะได้แต่ลูกศิษย์ห้ามไว้โดยทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองเหาะไม่ได้ แต่เศรษฐีก็ไม่ยอมให้เช่นกัน

เวลาผ่านไป 7 วัน ยังไม่มีใครสามารถเหาะนำบาตรแก่นไม้จันทน์ลงมาได้ ทำให้ชาวเมืองต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่า ในโลกนี้คงไม่มีพระอรหันต์แล้ว ในขณะเดียวกัน พระมหาโมคคัลลานเถระกับพระปิณโฑลภารทวาชะ กำลังออกบิณฑบาตรอยู่ได้ฟังชาวเมืองที่กำลังวิพากษ์วิจารณ์ว่า ไม่มีพระอรหันต์ในโลก ทำให้พระมหาโมคคัลลานะคิดว่าชาวเมืองกำลังดูหมิ่นพระพุทธศาสนา จึงต้องการให้ชาวเมืองได้รับรู้ว่า ในโลกนี้มีพระอรหันต์จริง ท่านก็คิดว่าตนเองนั้นมีอิทธิฤทธิ์มากที่จะแสดงได้ แต่ท่านก็มีใจกว้างจึงยกให้พระปิณโฑลภารทวาชะเป็นผู้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์

พระปิณโฑลภารทวาชะรับคำของพระโมคคัลลานะแล้วนั่งสมาธิเข้าฌานจนถึงระดับจตุตถฌานสมาบัติอันเป็นฐานแห่งอภิญญา ได้กระทำอิทธิฤทธิ์เหาะขึ้นไปยืนบนอากาศ พร้อมทั้งแผ่นศิลาที่ยืนอยู่นั้น เหาะเวียนรอบกรุงราชคฤห์แล้วเหาะลอยมาเอาบาตรแก่นไม้จันทน์ และได้นำบาตรลงและเหาะตรงไปยังหลังคาเรือนของเศรษฐี

ท่านเศรษฐีเห็นดังนั้นแล้วก็ดีใจที่ได้เห็นพระอรหันต์ที่แท้จริง และตกใจกลัวว่าก้อนหินจะล่วงลงมาทับบ้านของตน จึงกราบหมอบลงจนอกติดพื้นดินแล้ว กล่าวนิมนต์ให้ลงมา พระเถระจึงสลัดก้อนหินไปประดิษฐานในที่เดิมแล้วเหาะลงมาจากอากาศ เมื่อพระเถระลงมาแล้ว ท่านเศรษฐีจึงนิมนต์ให้นั่ง ณ อาสนะที่จัดถวาย ให้คนนำบาตรแก่นไม้จันทน์ที่ลงมาจากที่แขวนไว้บรรจุอาหารอันประณีตจนเต็มแล้วถวายพระเถระรับแล้วก็กลับสู่วิหาร

ส่วนชาวเมืองเมื่อได้เห็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของพระปิณโฑลภารทวาชะจึงพากันชุมนุมติดตามพระเถระที่วิหารเพื่อหวังให้ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ชมอีก จึงเกิดเสียงอื้ออึงจนไปถึงพระกรรณของพระพุทธองค์ เมื่อทรงทราบเรื่องราวแล้วก็รับสั่งห้ามพระแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ทุกชนิด

เพื่อนๆ นักขายครับ  ในสภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง มีเวลาก็ไหว้ “หลวงพ่อสด” วัดปากน้ำ “หลวงปู่ทวด” วัดช้างไห้” หรือ “หลวงพ่อสมเด็จโต” วัดระฆัง อธิษฐานขอพรจากท่าน เชื่อโดยไม่ลังเลสงสัย และน้อมรับพรวิเศษจากทุกท่านที่เอ่ยนามมา ผมเชื่อว่าจะได้พานพบ  “ปาฏิหาริย์” คือพลังมหัศจรรย์ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ดลบันดาลชีวิตให้ดีวันดีคืนขึ้นมาได้ในชั่วพริบตาครับ

Comments

comments