๒๕๐. ชีวิตเราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้เขียนเส้นทางเดินชีวิตเรา

๒๕๐. ชีวิตเราเป็นผู้เลือก เราเป็นผู้เขียนเส้นทางเดินชีวิตเรา

อุทิส ศิริวรรณ

เขียน

เสาร์ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๔
♦♦♦♦♦♦♦♦♦♦

 

 

ในสังคมทั่วไป
ถ้าค่อยๆ สังเกต 
จะเห็น “ผลงานเชิงประจักษ์” ว่า
ชีวิตคนเรานั้น แต่ละคนแตกต่างกัน
ไม่มีวันที่จะเหมือนกัน ได้แค่คล้ายคลึงกัน
คนเราที่สำเร็จ  สมหวัง มั่งคั่ง ร่ำรวย ก็มีจำนวนมาก
ส่วนคนที่ล้มเหลว ผิดหวัง อนาถา ยากจน ก็มีเยอะแยะมากมายกว่า

ใดๆ อยู่ที่ “บุญ-วาสนา-บารมี-เวลา-โอกาส” ที่แตกต่างกัน

คติฝรั่ง เชื่อว่า “โอกาส” เหมือน “ขุดทอง”
ขุดอีกแค่ ๓ ครั้ง ก็พบ “เหมืองทองคำ”

แต่ในชีวิตจริง หลายคน พยายาม ทุ่มเท เอาจริงเอาจัง
วันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า ขุดดินไล่ล่าหาทองคำคือความสำเร็จ
ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ก็ถอดใจ โยนผ้า ยอมแพ้ เลิกขุด
แล้วก็ไปไม่ถึง “เหมืองทองคำ” ความมั่งคั่ง  วาดวิมานในฝันเอาไว้
ก็พังทลายลง ชีวิตเสียหาย ย่อยยับและยับเยิน

เมื่อมองไปยังดวงตาคนที่เป็นหนี้เป็นสิน
คนที่ไม่มีเงินซื้ออาหาร
คนที่ไม่มีรายได้เพียงพอ
ที่จะจุนเจือช่วยเหลือครอบครัว

คนที่ล้มเหลว
แพ้ในเกมส์ชีวิต
โชคชะตาต้อนเข้ามุมอับ
จังหวะและโอกาสไม่เอื้ออำนวย
หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง
หมดหวังแล้วทุกอย่าง

ผมได้ค้นคว้า วิจัย ศึกษา  ขบคิด คิดอ่าน
แล้วก็ได้ “ข้อค้นพบ” ว่า ทุกๆ ความสำเร็จ
เกิดจากเพียงเรื่องไม่กี่ข้อ

ประการสำคัญที่ต้องเชื่อแน่วแน่ว่ามีอยู่จริง
ในโลกอันลี้ลับและเร้นลับคือ “พร”
คนที่นับถือพระเจ้า มักอวยพรกันสั้นๆ ว่า
“พระเจ้าอวยพร”
God Bless You 

คำนี้ ฝรั่งจะชมชอบกันอย่างถึงที่สุด
ใครเอ่ยคำนี้กับฝรั่ง รายไหนรายนั้น ยิ้มแก้มแทบแตก
แสดงว่าเข้าใจวัฒนธรรม คำที่ฟังแล้วฝรั่งรู้สึกดี

พรอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เกิดจาก “การสวดมนต์”
คนผู้หนึ่ง สามารถสวดมนต์ได้ตลอดเวลา
สวดในใจก็ได้ สวดออกเสียงเบาๆ ก็ได้
สวดเสียงดังๆ ก็ได้

 

มนตราที่ควรสวด คือมนต์ที่มีพลัง 
เช่น “อิติปิโส” “ชินบัญชร” “พระปริตรบทต่างๆ”

สวดเสร็จแล้ว ประสา “ปุถุชน”
ก็ให้บูชาพระไตรรัตน์ ด้วยพลังสัทธาเต็มร้อย
ไม่ต้องอวดฉลาด อวดเก่ง อวดรู้ อวดดี อวดโง่
ให้รวมจิตเป็นหนึ่งเดียว รวมพลังสัทธาเป็นดวงเดียว
ขอพร

วิถีคิด วิธีคิดแบบ “สามัญชน” จะแตกต่างกันจาก “อริยะ”
เวลานี้ สังคมไทย สับสน คลุมเครือ เพราะเอาวิธีคิดแบบ “อริยะ”
มาบังคับใช้กับ “ปุถุชน”

ผมถึงย้ำเสมอ และย้ำเป็นหนักหนาว่า
เวลาจะอ่านอะไรที่ผมเขียน ผมจะเขียน จะเล่าแบบ “ปุถุชน”
คือพิจารณาเห็นตามความเป็นจริงว่า
การเป็นมนุษย์ พื้นฐานคือต้องมีงานดีๆ ทำ 

มีเงินเกิดจากงานดีๆ  ได้ใช้เงินจากงานที่สุจริต 
และไม่เป็นหนี้สิน จากนั้น มีเวลา ก็ทำบุญทำทานขั้นปกติ


คือทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญสติ ทำสมาธิภาวนา
สะสมบุญบารมีเอาไว้ เพื่อประโยชน์ในโลกหน้า
คือมีสัทธา เชื่อเรื่องกรรม กิเลส วิบาก สังสารวัฏ
พยายามรักษาศีลอย่างน้อยศีล ๕ ข้อ 
ฝึกจิตใจให้จาคะ เสียสละ ประโยชน์ประเทศชาติ 
ประโยชน์คนรอบตัว ประโยชน์ตนเป็นอันดับสุดท้าย
ฝึกคิดอ่านขบคิดวิเคราะห์หลักธัมมะจนเกิดปัญญา
ทั้งสุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง
จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการขบคิด
และภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนาทบทวน

คนโบราณถึงให้ลูกหลานเพศชายได้ออกบวช
ได้เล่าเรียนมนต์คาถาภาษาบาลี รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง
จำได้บ้าง จำไม่ได้บ้าง
เพียงแค่งูๆ ปลาๆ ก็ท่องจำเอาไว้

เป็นวาสนาบารมีติดตัวข้ามภพข้ามชาติ 
ชาติสุดท้ายจะได้เข้าถึง “นิพพาน” โดยง่าย โดยเร็ว โดยพลัน

แต่พึงสำเหนียกสำนึกเสมอว่า “นิพพาน” ไม่ง่าย
คือสภาวะที่จิตจะนิ่งสงบจาก “เจตสิก” ที่เกิดจากกิเลส ๓ กอง
อันประกอบด้วย “โลภะ โทสะ โมหะ” แยกย่อยเป็น “กิเลส ๑๐๘ ดวง”
เกิดๆ ดับๆ  เบื่อๆ อยากๆ ตลอดเวลา ยากที่จะปลงและปล่อยวาง
ลด ละ เลิก กิเลส ตัณหา ได้ ตลอดกาล ตลอดไป เป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด 

บอกตรง ทางลัดไปสู่นิพพาน ไม่ง่าย
แต่ก็น่าพากเพียรพยายาม
ต้องฝึกอบรมทางจิตเท่านั้น
ไม่ใช่นั่งแค่ไม่กี่ปี
ไม่ใช่ชักชวนกันคุย
ไม่ใช่อ่านหนังสือแล้วนิพพานเลย 
ไม่ง่ายขนาดนั้น  

พยายามสั่งสมบุญกุศล
เป็นวาสนา เป็นตปะ เป็นเตชะ เป็นพลวปัจจัย
สำหรับภพชาติต่อไปที่เวียนว่ายตายเกิด
ตามหลัก “อิทัปปัจจยตา”  ซึ่งเรียกกันว่า “ปฏิจจสมุปบาท”
สังสารวัฏ ถ้าศึกษาละเอียด ขบคิดลึกซึ้ง บอกตรง
หนทางในโลก ๓ โลก ยาวไกลมาก

ผมถึงชอบใช้คำว่า “แค่ไหนแค่นั้น ไม่ต้องคิดอะไรมาก”

อะไรที่ทำไม่ได้เอง อย่างบุญสร้างคนคือ “ศาสนทายาท”
และบุญสร้าง “ตัวแทน” พระพุทธองค์ คือ “ศาสนธรรม”
ได้คิดและคิดได้ ก็หาทางสนับสนุนส่งเสริมผู้ที่คิดและทำได้
ตามกำลังที่มี ตามเหตุตามปัจจัย 

 

พรที่ขอจากพระพุทธองค์ที่สำคัญคือ

ข้อ ๑ ข้อแรก ขอให้ได้รับโอกาสที่ดีๆ
ข้อ ๒ ขอให้ได้พบจังหวะช่วงเวลาที่เหมาะสม
ข้อ ๓ ขอให้ได้พบคนที่สนับสนุนที่เป็นคนจริง เอาจริงเอาจัง
พูดจริงทำจริง รับปากแล้วว่าจะช่วย ก็ช่วยเหลือกันจริงจัง
ข้อ ๔ ขอให้ได้เรียนรู้วิชาชีพ วิชาการ ที่นำไปสู่ความมั่งคั่งร่ำรวย
ข้อ ๕ ขอให้สามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้ชีวิตได้รวดเร็วกว่า ดีกว่า
และใช้เงินจำนวนน้อยกว่า
ข้อ ๖ ขอให้การงานรุ่งเรือง การเงินราบรื่น อย่าได้ติด อย่าได้ขัด
คล่องตัว ทุกประการ ไม่สะดุด ไม่เกิดสภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง
ข้อ ๗ ขอให้พบคนรักที่เสริมดวง เสริมบารมี และขอให้มีความรัก
ความมั่นคง ความอบอุ่น ชักชวนกันทำบุญทำทาน ใจบุญสุนทาน
มีศีลเสมอกัน มีธรรมเสมอกัน มีความเห็นเสมอกัน มีความคิดอ่านตรงกัน เข้าใจความแตกต่างระหว่างกัน เห็นอกเห็นใจกัน
ไม่ทอดทิ้งกันในยามทุกข์ ดูแลห่วงใยกันในยามมีความสุข
ข้อ ๘ ขอให้มีดวงชะตาที่เข้มแข็ง มีดวงจิตที่แข็งแกร่ง
สามารถรักษาตำแหน่ง อำนาจ ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญ เอาไว้ได้
ตราบนานเท่านาน ด้วยหลักคิด หลักทำ หลักธรรมะ
ข้อ ๙ ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ในแต่ละวัน
ขออย่าได้พบเจอกับคนที่เลวร้าย เหตุการณ์ที่เลวร้าย สถานการณ์ที่เลวร้าย
ขอคุณพระคุณเจ้าพลังแห่งการสวดมนต์ เทพยดาฝ่ายดี จงตามปกปักรักษา
คุ้มครองให้เดินทางไปไหน ทำอะไร ก็แคล้วคลาดปลอดภัย
อย่าได้พบเจอคนอาสัตย์อาธรรม์ ทุกวงการ
ผ่านพ้นมาได้โดยสวัสดีโชคดีมีชัยทุกประการ

ข้อ ๑๐ ขอให้ชะตาชีวิต อย่าได้ถูกหน่วงเหนี่ยว กักขัง ควบคุมตัว
ขอให้ได้รับอิสรภาพ และเสรีภาพ ตลอดปี ตลอดไป อย่าได้มีคดีความอย่าได้ต้องหา ต้องคดี จากบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฐิ
ข้อ ๑๑ ขอให้รักษาตัวให้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ โรคติดต่อ โรคระบาด
อย่าได้มากล้ำกราย อย่าได้เจ็บ อย่าได้ป่วย สุขภาพแข็งแรง ตลอดปี ตลอดไป
ข้อ ๑๒ ขอให้แคล้วคลาด ปลอดภัย จากภูตผีปีศาจ คุณไสย ไสยศาสตร์ เวทย์มนต์ มนตร์ดำ อย่าได้ต้องอาถรรพณ์ อย่าได้มีคนทำของใส่

 

เมื่อชีวิตเราเองเป็นผู้เลือก ดังนั้น เมื่อเลือกได้
จงเลือกที่จะมี “มหาเทพ” สถิต ปกปักรักษา คุ้มครองตัวเรา
ทุกที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ นอกเหนือจาก “พระรัตนตรัย”
และ “ดวงดาว” ที่หมุนตลอดเวลา

เริ่มต้นจากขอพรจากเทวดาฝ่ายสัมมาทิฐิ
มหาคเณศ ขอให้พระพิฆเนศวร์เทพเจ้า ปกปักคุ้มครองดวงชะตา
ให้มีโอกาสเริ่มต้นคิดอ่านทำการใหม่ต่างๆ
ด้วยสิทธิคือความสำเร็จ และพุทธิ คือความรู้ที่แน่นและแม่นยำในศาสตร์นั้นๆ

มหาพรหม ขอให้ท่านท้าวมหาพรหม ดลจิตดลใจ
ให้พบเจอแต่คนที่จิตใจระดับสูง เต็มเปี่ยมด้วย
เมตตา รักเราอย่างจริงจัง กรุณา สงสารเห็นอกเห็นใจ
มุทิตา สนับสนุน ส่งเสริม ไม่อิจฉาริษยา ไม่ใส่ร้ายใส่ความ
พลอยยินดี เมื่อเห็นเราได้ดิบได้ดี จากใจจริง
อุเบกขา วางใจพิจารณาเหตุและผล ตามความเป็นจริง
ไม่ลำเอียงเพราะอคติ ๔ ลำเอียงเพราะรัก โกรธ หลง หรือกลัว

มหาศิวเทพ ขอให้พระศิวะเทพเจ้่าผู้ยิ่งใหญ่ จงดลจิตให้มีสมาธิสงบ
ทำลายกิเลสคือโลภโกรธหลงได้

มหาลักษมี ขอให้ lucky lucky เฮงๆ รวยๆ พบเจอแต่โชคดี
เงินไหลกอง ทองไหลมา เนืองนอง ไม่ขาดสาย
คิดเงินได้เงิน คิดทองได้ทอง

มหาตรีมูรติ ขอให้มหาเทพปกปักรักษาให้มีความสามัคคีปรองดองกับคณะ

มหานารายณ์ ขอให้เป็นดั่งนารายณ์ ๔ กร มีความเฉลียวฉลาด
มีสติปัญญาในการแก้ปัญหายากให้ง่าย ลุล่วง เร็วพลัน ทุกประการ

มหาปาราวตี ขอให้เทพธิดาปาราวดี จงดลจิตดลใจให้เรา
เมตตาต่อผู้อื่น ราวกับว่าเป็นบุตรของเรา

มหากาลี ขอให้มีสติปัญญาแจ่มใส ส่องสว่างทำลายอวิชชา
สิ่งลี้ลับ สิ่งที่ผิดปกติอุปสรรคและโจทย์ใหญ่โจทย์ยาก
ขอให้จงคลี่คลายสามารถใช้สติปัญญาทะลุทะลวงแก้ไขได้ทุกปัญหา
รู้แจ้งเห็นจริงแจ่มแจ้งแทงตลอด
ทุกมิติของปัญหาที่ท้าทายยิ่งใหญ่และแก้ยาก

คติความเชื่อเรื่องเทพ อย่ามองว่างมงาย อย่าคิดว่าเป็นไปไมได้
เทพเจ้าทั้งหลาย มีเทพปกรณัม ตำนาน ที่มา
กว่าจะมีวันนี้ กว่าจะได้รับยกย่องดูแลทั้ง ๓ โลก
ต้องใช้เวลาสะสมชื่อเสียงมานานนับพันปี
จึงจะมีคนเคารพนับถือนับพันล้านคน

 

พรและพลังแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย
คนที่สวดมนต์ ทำทาน รักษาศีล เจริญสมาธิภาวนา
ทั้งสมถะและวิปัสสนา ชั่วชีวิตหนึ่ง
อาจสัมผัสได้จริง ถึงพรอันประเสริฐ

 

คติการบูชาเทพเจ้า ควรทราบว่า
เทพในแต่ละชาติ มีเป็นจำนวน
นับร้อย นับพัน นับหมื่น นับแสน นับล้านองค์

สาระสำคัญของ “พลังมหาเทพ” คือ “พลังความสามัคคี”

ข้อขบคิดเรื่อง “ความสามัคคี” น่าสนใจ
ครอบครัวใดแตกสามัคคี
แม้จะมีเงินทองนับล้านๆ บาท
แม้จะมีทรัพย์สินจำนวนมาก
แม้จะมีบริวารลูกน้องทีมงานจำนวนมาก
แม้จะเป็นคนใหญ่คนโต มีชื่อเสียงมาก
สิ่งที่มีทั้งหมด อาจสูญสลายมลายหา่ยไปได้
เมื่อแตกสามัคคี

======

ความต่อไปนี้ ผมสรุปความจากหนังสือ
“ถาม-ตอบ คัณฐิบทในคัมภีร์ปทรูปสิทธิ”

คติศาสนาพราหมณ์ ให้สวดมนต์บูชาเทพ
ด้วยพลังแห่งมนตรา เพียงแค่คำเดียวคือ

“โอม”

โอมฺ มีที่มาจากคำสันสกฤต ประกอบด้วยคำ ๓ คำคือ

อ + อุ + มฺ 

อ ศัพท์ มีความหมายว่าพระวิษณุ หรือพระนารายณ์
อุ ศัพท์ มีความหมายว่าพระศิวะหรือพระอิศวร
ม ศัพท์ มีความหมายว่าพระพรหม

คัมภีร์มุคธโพธฎีกาเก่าและฎีกาใหม่ (อธิบายสูตรที่ ๑)
กล่าวว่า
อกาโร วิษฺณุรุทฺทิษฺฏ อุการสฺจ มเหศฺวระ
มกาเรโนจฺยเต พฺรหฺมา ปรฺณเวน ตฺรโย มตาะ ฯ
คาถานี้ เปลี่ยนจากคำสันสกฤตเป็นคำบาลีว่า
อกาโร วิณฺหุ อุทฺทิฏฺโฐ อุกาโร จ มหิสฺสโร
มกาโรเนจฺจเต พฺรหฺมา ปณเวน ตโย มตา ฯ
แปลว่า
ท่านกล่าว อ อักษร ว่าหมายถึงพระวิษณุ
อุอักษร หมายถึงพระศิวะ 
มอักษร หมายถึงพระพรหม
ตรีเทพ อันท่านรู้แล้วด้วยอักษรลี้ลับ (ว่าโอม) ฯ

 

ในภาษาบาลี มีการใช้คำว่า “โอมฺ” เหมือนกัน
โดยใช้คำว่า “อุํ” แปลง “มอักษร” เป็น “นิคคหิต”
คำนี้เปรียบเทียบว่ามหาเทพทั้ง ๓ นั้น เหมือนกับพระรัตนตรัย
จึงแปล “โอม” ว่า “ข้าแต่พระรัตนตรัยเปรียบปรานดั่งพระวิษณุ
พระศิวะและพระพรหม”

 

คำว่า “โอมฺ” แปลว่า ข้าแต่พระวิษณุ พระศิวะ และพระพรหม
ชาวฮินดูในอินเดียถือว่าตรีเทพเหล่านี้ เป็นที่พึ่งเหมือนพระรัตนตรัย
และเชื่อกันว่า “อ อักษร” คือ “พระนารายณ์” ดังนั้นจึงหลั่งไหลแห่แหนกันมา
กราบไหว้ “พระพุทธเจ้า” ที่พุทธคยา เพราะเชื่อกันว่าเป็น “องค์อวตาร”
นารายณ์ ๑ ในนารายณ์ ๑๐ ปาง ตามคติความเชื่อศาสนาพราหมณ์

ทว่าสำหรับชาวพุทธ “โอม” เป็นคำมงคล นิยมใช้เป็นเบื้องแรก
ในการสาธยายมนต์ และแต่งคัมภีร์

ที่มา เก็บความบางส่วนจากหนังสือ ถาม-ตอบคัณฐิบทในคัมภีรืปทรูปสิทธิ
หน้า ๖๐-๖๑ ฉบับพิมพ์ปี ๒๕๔๕ พระคันธสาราภิวงศ์ แต่ง
พระธรรมโมลี และเวทย์ บรรณกรกุล ตรวจชำระ

——-

ว่าที่จริง ความสำเร็จในชีวิตคนเรา
นอกจากการสวดมนต์แล้ว
ความหมายของมนต์แต่ละบท
ก็มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่เหมือนกัน

เล่าไว้พอสังเขป
สำหรับคนทุกวงการ
ที่ไขว่คว้าดิ้นรนหาเสาะแสวงหาความสำเร็จ
จะไปได้ไกลแค่ไหน ก็อยู่ที่ใจกำหนด

ดังถ้อยคำที่ปรากฏในธนบัตรฉบับร้อยดอลลาร์สหรัฐอเมริกา
ระบุไว้ชัดเจนว่า
In God We Trust

ผมแปลว่า
จะสำเร็จอะไร
ก็อยู่ที่เทพเจ้าที่เราเชื่อถือสัทธา

 

ยกตัวอย่างผมเอง
ประสาปุถุชน
ที่สภาวะจิตยังไม่หลุดพ้นจากทุกข์
ผมนับถือและสัทธาในตัว

“พระคเณศ” “พระนารายณ์” “พระพรหม”

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมก็ใช้ “ปรัชญาพระคเณศ”

ในการดำเนินชีวิต คือแสวงหาความสำเร็จที่เป็นมนุษย์สมบัติ
โดยใช้ “พุทธิ” คือความรู้ อันเกิดจากการคิดอ่านนำ

อังกฤษใช้คำว่า

Readers are always Leaders

ผู้อ่านจนรอบรู้เจนจัดทุกศาสตร์และศิลป์ 
มักจะได้กลายเป็นผู้นำในวงการต่างๆ อยู่เสมอ

 

แต่ถึงกระนั้น ก็ต้อง “สวดมนต์” ขอรับพรอันประเสริฐ
ให้ปกปักรักษาคุ้มครองให้แคล้วคลาดปลอดภัย ตลอดเวลา

 

 

=======
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ
ให้ธัมมะเป็นทาน ย่อมชนะทุกการให้

 

 

Comments

comments